บล.กสิกรไทย คาดว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือ 3.6-5.0% แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะสามารถเติบโตได้ถึง 5.7% ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจปรับลดลงมาอีก แต่ไม่น่าจะเกิน 10% หลังจากที่ลงมามากแล้ว แต่กว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนคาดว่าจะเป็นไตรมาส 2/52
นายชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ส่วนในปีหน้าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้การเติบโตของยอดส่งออก ลดลงครึ่งหนึ่งจากที่เติบโตได้ถึง 17% ในปีนี้
ในด้านอัตราแลกเปลี่ยนถึงแม้ว่าการสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวน่าจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่คาดการณ์ว่าการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจะเป็นเพียงระยะสั้น และคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในระดับ 34 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นปีนี้ ซึ่งการเกินดุลการค้าในปีหน้าจะก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย
บล.กสิกรไทย มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นในปีนี้น่าจะมีจุดต่ำสุดที่ 610-630 จุด โดยดัชนีจะไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 7% ในปี 52 เทียบกับอัตราการเติบโตที่ 65% ในปีนี้ แต่ปัจจัยที่จะมีผลต่อดัชนีจะเป็นประเด็นค่า P/E ratio ซึ่งมองว่าดัชนี ณ สิ้นปีนี้จะปิดที่ 740 จุด โดยมี P/E ratio ที่ 8.5 เท่าภายใต้ภาวะการณ์ปกติ
ในส่วนของสภาพคล่องโดยรวมในระบบจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็จะลดลงจากช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในปี 52 อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท ลดลงจากระดับเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่ 17,400 ล้านบาท โดยหุ้นที่น่าลงทุนในขณะนี้คือธุรกิจบริการ (กลุ่มธนาคาร, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, การพาณิชย์ และสื่อและสิ่งพิมพ์) และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ที่พักอาศัย) โดยให้หลีกเลี่ยงกลุ่มพลังงาน ยกเว้นธุรกิจถ่านหิน
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงได้อีกจากสถานการณ์การเมือง แต่การปรับตัวในครั้งนี้คงจะไม่เกิน 10% เนื่องจากก่อนหน้านี้ลดลงมามากแล้ว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติคงจะกลับเข้ามาลงทุนในไตรมาส 2/52 มากกว่า หลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายทั้งในเรื่องของการเมืองในประเทศที่จะนิ่งและการรอให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก่อน
สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้ามาในขณะนี้ เพราะยังมีความกังวลจึงปรับพอร์ตไปถือเงินสดแทนเพื่อรักษาสภาพคล่องของตัวเองไว้ แต่การที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำการที่จะถือในระยะ 6 เดือนหรือ 9 เดือนก็สามารถทำได้
"หุ้นได้ปรับตัวลงไปเยอะแล้วและถือว่าต่ำแล้วการที่จะปรับลงไปอีกอย่างมากก็ 10% จากการเมืองที่ยังคาราคาซังอยู่ตอนนี้" นายรพี กล่าว
น.ส.ณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทได้มีการปรับประมาณการวอลุ่มตลาดลงเหลือเฉลี่ยทั้งปีที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่มอง 1.8 หมื่นล้านบาท หลังจากเกิดจากความวุ่นวายทางการเมืองที่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน สอดคล้องกับที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่ารายได้ของประเทศจะสูญเสียจากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น 4.9 หมื่นล้านบาท และหากลากยาวถึงสิ้นปีอาจจะมากถึง 2.95 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทให้ความสำคัญและมีสัดส่วนการลงทุนระยะปานกลางถึงยาว จึงไม่กระทบต่อการรักษามาร์เก็ตแชร์ที่ตั้งเป้าเฉลี่ยทั้งปีที่ 2% จากปีก่อนที่มีมาร์เก็ตแชร์ 1.06% ประกอบกับมีลูกค้าใหม่ๆ ทยอยเข้ามาซื้อหุ้นในราคาถูกทั้งนักลงทุนสถาบันหรือลูกค้าที่มีบัญชีซื้อขาย 5 ล้านบาทขึ้นไป จึงทำให้คาดว่าจะมีนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้นในปีนี้เป็น 40% จากปัจจุบันอยู่ที่ 36% และในปีก่อนอยู่ที่ 20%
ด้านนายรพี กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ราคาหุ้นที่ลดลงมากในขณะนี้และกระแสเงินสดมีปัญหา อาจได้เห็นการเข้ามาเทคโอเวอร์มากขึ้น แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อเทียบกับการเสนอขายหุ้น IPO ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะตลาดหุ้นผันผวน ทำให้ดีล IPO ที่มีอยู่ในมือเลื่อนออกไปเป็นปี 52 จากที่เตรียมการไว้ในไตรมาส 4/51 ส่วนดีล M&A ขณะนี้มีประมาณ 5 ดีล ทั้งบริษัทในและนอกตลาด
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/จำเนียร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--