บมจ.ปรีชากรุ๊ป (PRECHA) ยอมรับยากที่จะเห็นผลประกอบการปีนี้พลิกเป็นกำไรแล้ว โดยอาจจะยังขาดทุนอยู่เล็กน้อย เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นกดดันแรงซื้อของผู้บริโภครอบหนึ่งแล้ว ยังมีผลกระทบจากปัญหาการเมืองอีก ทำให้อัตราการเข้าชมโครงการลดลง 30% ลังเลเลื่อนเปิดโครงการใหม่เป็นปี 52 หลังจากชะลอแผนซื้อที่ดินประมาณ 500 ล้านบาทไปปีหน้าแล้ว
"ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเร็วมากและถือว่าไม่ปกติ ก่อนหน้านี้เจอราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นก็เหนื่อยมารอบหนึ่งแล้วต้นทุนเพิ่มขึ้นแล้วยังมาเจอสถานการณ์การเมืองอีกคนชะลอการซื้อ ชะลอการเข้ามาดูโครงการน้อยลง การจะทำอะไรลงทุนอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ ฉะนั้นการที่เราจะเริ่มเห็นกำไรในปีนี้อย่างที่เราพูดไว้คงจะยาก อย่างเก่งก็เท่าทุนหรือขาดทุน แต่ก็เชื่อว่าขาดทุนน้อยลงจากปีก่อน"นายวรยุทธ์ พงษ์สุวรรณ กรรมการ PRECHA กล่าว
อนึ่ง PRECHA และบ.ย่อย งวดปี 50 ขาดทุน 83.9 ล้านบาท
นายวรยุทธ์ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทำให้บริษัทต้องวางแผนในการพัฒนาให้รอบคอบ โดยขณะนี้มีแผนเปิดโครงการคอนโดมีเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 1 พันกว่าล้านบาท ย่าน รัชดา - พระราม 9 แต่อยู่ระหว่างประเมินว่าจะเปิดในช่วงไตรมาส 4/51 หรือเลื่อนไปเป็นปี 52
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ขนาดในการสร้างบ้านให้มีขนาดเล็กลง เหลือ 130-140 ตารางเมตรจากเดิม 160-170 ตารางเมตรในโครงการปรีชาร่มเกล้า และโครงการปรีชาสุวินทวงศ์ ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่เปิดขายไปตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา คาดว่าคงจะสามารถปิดการขายโครงการได้ในปี 52
อีกทั้งการปรับโครงการจากบ้านเดี่ยวมาเป็นบ้านแฝดแทนในโครงการ"ปรีชารามคำแหง 1 ถนนราชพัฒนา"มูลค่าโครงการ 300 กว่าล้านบาท และเลื่อนจากการเปิดขายไปเป็นไตรมาส 4/51 จากเดิมกำหนดไว้ในไตรมาส 3/51 ด้วยเนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคปรับเปลี่ยนเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้อง ซึ่งคาดว่าจะบันทึกรายได้จากโครงการดังกล่าวในปีหน้า
ส่วนโครงการ"พีจี พระราม 9 คอนโดมีเนียม ที่มีมูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปีนี้จะทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดหมุนเวียน เพื่อเตรียมที่จะซื้อที่ดินหรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต
นายวรยุทธ์ กล่าวว่า ในครึ่งปีนี้ที่เหลือคงไม่เห็นการปรับราคาขายบ้านอีก เพราะในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับราคาขายไปบางโครงการแล้วเฉลี่ย 5-8% ถึงแม้จะยังไม่ครอบคลุมต้นทุนก่อสร้างที่ปรับขึ้นก่อนหน้านี้ประมาณ 15% แต่บริษัทก็ได้มีการปรับเปลี่ยนการพัฒนาโครงการให้เล็กลง
ส่วนกรณีที่ราคาหุ้นไม่เคลื่อนไหวมากนัก คงต้องปล่อยไปตามภาวะตลาด ประกอบกับ ภาวะตลาดหุ้นในขณะนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยในการลงทุน แม้ก่อนหน้านี้บริษัทจะมีการลดทุน เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้น จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.50 บาท เป็นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาทก็ตาม แต่อยากให้มองในอนาคตเพราะจะทำให้หุ้นมีโอกาสกระจายในวงกว้างขึ้นและสามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นของบริษัท รวมทั้งการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในอนาคตเมื่อบริษัทมีกำไร
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--