นายกอบศักดิ์ ภู่ตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน 162 แห่งหรือคิดเป็น 63% ของมูลค่าตลาดรวม พบว่าส่วนใหญ่ยังกังวลสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่าปัจจัยเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ และมองว่าหากได้รัฐมนตรีชุดเดิมกลับมาบริหารประเทศก็จะมีอายุไม่เกิน 3 เดือน
"จากผลการสำรวจพบว่า บจ.ยังให้ความสำคัญต่อความกังวลเรื่องการเมืองที่อาจจะลากยาวและทำให้กระทบต่อการบริโภคชะลอตัวลงใน 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นปัญหาหลักในตอนนี้เมื่อเทียบกับปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมัน ส่วนการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยไม่มีใครมองว่าเป็นปัญหาหรือกังวลต่อการเติบโตของบริษัทและเศรษฐกิจ" นายกอบศักดิ์ กล่าว
สำหรับทางออกทางการเมืองนั้นคงจะต้องติดตามดูในวันศุกร์นี้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด และจะสามารถทำให้คนส่วนใหญ่คลายความกังวลหรืออาจจะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าบทบาทของการเมืองไทยเริ่มปรับเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับรัฐสภามากขึ้นจากเดิมที่ใช้รัฐประหารเป็นตัวแก้ปัญหา
นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาทางการเมืองส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา โดยวอลุ่มตลาดหดเหลือเพียง 6,000-10,000 ล้านบาท/วัน จากต้นปีที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 1.9 หมื่นล้านบาท/วัน และหากไม่มีคำตอบในเรื่องการเมืองก็เป็นไปได้ยากที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น
ก่อนหน้านี้ (ก่อนพ.ค.) ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเช่น สิงคโปร์ แต่หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีการชุมนุม ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็เริ่มปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาคิจะไหลออกไปด้วย
นอกจากนี้ จะเห็นว่า บจ.ส่วนใหญ่แม้จะมีปัญหาทางการเมือง แต่ก็คงยังให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุน แต่รูปแบบในการระดมทุนเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการเพิ่มทุนผ่านตลาดหุ้น บริษัทที่มีแผนจะออกขายหุ้น IPO ก็จะชะลอลงไปด้วย โดยหันมาใช้กำไรสะสมหรือขอสินเชื่อภายในประเทศแทน
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า การสำรวจในประเด็นเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลส่วนใหญ่มองว่ายังไม่น่าพอใจและอยากให้แก้ไขในเรื่องการเมืองเป็นหลัก รองลงมาคือการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ ส่วนปัญหาเงินเฟ้อใน 12 เดือนข้างหน้า บจ.ส่วนใหญ่มองว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 7-8% ส่วนในเรื่องของต้นทุนราคาวัตถุดิบมองว่ายังมีแนวโน้มปรับขึ้นบ้าง แต่คงจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/จำเนียร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--