โบรกฯหนุน"ซื้อ"BECL มองปี 52 ฟื้นจากปริมาณใช้รถเพิ่ม-ได้ยืดอายุสัมปทาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 12, 2008 12:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          6 โบรกเกอร์ แนะนำลงทุนหุ้น บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ(BECL)หลังคาดปี 52 ผลประกอบการจะฟื้นตัวจากปีนี้ที่กำไรตกจากปริมาณใช้รถลดลงรับผลกระทบจากการเปิดใช้วงแหวนด้านใต้ฟรี แต่ก็จะเริ่มเก็บค่าผ่านทางแล้วในปลายปีนี้แล้ว ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น บริษัทยังได้ปรับขึ้นค่าผ่านทางเมื่อ ก.ย.51 ขณะที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)จะขยายเวลาสัมปทานสำหรับทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 ออกไปอีก 8 ปี 10 เดือน ถึงแม้ยังไม่ได้รับความชัดเจนแต่ก็มีแนวโน้มในทางบวก
ประกอบกับ ราคาหุ้นปรับลงมาสะท้อนปัจจัยลบที่ผ่านมามากแล้ว มองว่ามีอัพไซด์สูง โดยราคาหุ้น BECL ขณะนี้ ปรับขึ้น 2.21% หรือ 0.40 บาท มาที่ 18.50 บาท ซึ่งยังห่างจากราคาเป้าหมายที่หลายโบรกฯให้ไว้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 26.00
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 26.00
บล.ซิกโก้ ซื้อ 25.50
บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 24.00
บล.กิมเอ็ง ซื้อ 22.20
บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 21.30
นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)มองแนวโน้มบวกจากกระแสข่าวที่กทพ.อนุมัติให้ขยายเวลาจ่ายส่วนแบ่งรายได้ทางด่วนขั้นที่ 1 และ ขั้นที่ 2 ในสัดส่วน 40% ของรายได้ให้แก่ BECL ต่ออีก 8 ปี 10 เดือน เพื่อแลกกับการยุติข้อพิพาทที่ BECL ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกรณีที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับขึ้นค่าผ่านทางเมื่อปี 41 และปี 46
แม้ว่าข่าวนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน โดยตามขั้นตอนคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา และจะต้องเสนอครม.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และยังมีการคัดค้านจากสหภาพแรงงาน กทพ. แต่ก็ถือว่าเป็นบวกต่อ BECL
"ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นอัพไซด์ในอนาคตประมาณ 10 บาทต่อหุ้น ซึ่งยังไม่รวมราคาเป้าหมายปัจจุบัน"นายสุรศักดิ์ กล่าว
นายสุรศักดิ์ คาดว่า ผลประกอบการของ BECL จะพื้นตัวในปี 52 โดยคาดว่าจะมีรายได้ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% และปริมาณการใช้รถจะเพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 9.59 แสนคัน/วัน นอกจากนี้ ยังมีเงินปันผลที่น่าจูงใจ และราคาปรับลงมากแล้วเห็นว่ายังมีอัพไซด์อยู่มาก
ส่วนในปีนี้ยังไม่ดีเพราะได้รับผลกระทบจากเปิดใช้วงแหวนด้านใต้ฟรี และการปรับขึ้นค่าทางด่วนที่ทำให้ปริมารณการใช้รถ(Traffic Volume)ลดลงในช่วงแรก โดยในเดือนมิ.ย.ปริมาณใช้รถปรับลดลงไปกว่า 8% และในไตรมาส 2/51 ลดลง 6.1% จากปีก่อนในช่วงเดียวกัน
บล.กิมเอ็งคาดว่าทั้งปี BECL จะมีปริมาณใช้รถเฉลี่ย 9.2 แสนคัน/วัน ลดลง 7% จากปีก่อนที่มี 9.8 แสนคัน/วัน ทำให้รายได้ปีนี้ลดลง 3.8% มาที่ 6.9 พันล้านบาทที่เกิดจากปริมาณใช้รถลดลง แต่ก็มีรายได้เพิ่มหลังจากได้ปรับขึ้นค่าผ่านทางในเดือนก.ย.และกำไรสุทธิปีนี้ก็ลดลงด้วย คาดไว้ที่ 1.26 พันล้านบาท จากปีที่แล้วมีกำไร 1.4 พันล้านบาท หรือลดลงประมาณ 10%
"แนะนำซื้อ จริงๆเรามองอนาคตว่าปีหน้าจะฟื้นตัว เพราะวงแหวนด้านใต้จะเริ่มเก็บค่าผ่านทางในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้ Traffic Volume เพิ่ม ส่วนผลกระทบการปรับขึ้นค่าทางด่าวนจะกลับมาภายในปีหนึ่งเท่าเดิม" นายสุรศักดิ์ กล่าว
ด้านนายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส มองว่า BECL มีปัจจัยบวกเรื่องได้ต่ออายุสัญญาสัมปทาน และการได้ปรับขึ้นค่าทางด่วน โดยมองว่าเล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้ ให้แนวรับ 18 บาท แนวต้าน 19 บาท
"แนะนำเทรดดิ้ง 18-19 บาท ปีนี้ยังไม่ค่อยดี คนใช้ทางด่วนน้อย น้ำมันแพง และยังมีการปรับขึ้นค่าทางด่วน แต่แนวโน้มจะดีขึ้น ก็ให้เล่นในกรอบแคบๆไปก่อน" นายภูวดล กล่าว
ด้านบล.ซิกโก้ มองว่า ปริมาณจราจรบนทางด่วนในเดือน ส.ค.51 โดยรวมยังปรับตัวลดลง แต่ลดลงในอัตราชะลอตัวลง จากรายงานปริมาณการจราจรของ BECL ในเดือน ส.ค. 51 อยู่ที่ 875,617 คัน/วัน ลดลง 7% จากปีก่อน เทียบกับเดือนก่อนที่ลดลง 7.4% นอกจากนี้ BECL มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 17.0 ลบ./วัน ลดลง 8.0% จากปีก่อน
ขณะที่เราคาดว่าปริมาณจราจรในเดือน ก.ย.51 น่าจะมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากการปรับขึ้นค่าผ่านทางที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.51 แต่ในทางตรงกันข้ามรายได้เฉลี่ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยชดเชยกับปริมาณจราจรที่หายไปได้บางส่วน
ส่วนกรณีการปรับอัตราค่าผ่านทาง โครงการทางด่วนขั้นที่ 2 (ศรีรัช) ในปี 41, 46 และ 51 ซึ่งมีรายงานข่าวล่าสุดว่าคณะกรรมการของ กทพ.จะพิจารณาการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ BECL เป็นจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายปีจนครบในปี 72 หลังหมดสัมปทานในปี 63
ขณะที่ BECL มีการประมาณการค่าชดเชยทั้งหมดไว้ที่ 7.8 หมื่นล้านบาท โดยในเบื้องต้น BECL เปิดเผยว่ายังไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากทาง กทพ.ซึ่งเรามองว่าไม่ว่า กทพ.จะมีการพิจารณาออกมาในรูปแบบใด BECL ย่อมได้รับประโยชน์เนื่องจากจะส่งผลให้ BECL มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอความชัดเจนจากทาง กทพ.อีกครั้ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ