บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN)เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาโครงการรับซื้อหุ้นคืนภายในไตรมาส 3/51 หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ได้ตั้งเป้ารายได้และกำไรสุทธิเติบโตปีละ 15-20% ในช่วง 3 ปีนับจากนี้ รวมทั้งสามารถจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องเน้นคอนโดมิเนียมตลาดกลาง-ล่างที่ยังมีความต้องการจริง โดยได้ใช้งบจัดซื้อที่ดินปีละ 1.5-2.0 พันล้านบาทมารองรับโครงการใหม่
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในฐานะฝ่ายบริหารมองว่าราคาหุ้น LPN ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมากพอสมควร ดังนั้น จะเสนอข้อมูลและแนวทางให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณา น่าจะภายในไตรมาส 3/51 หรือ ก.ย. 51 โดยจากการพิจารณาราคาหุ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่แล้ว ราคาหุ้นลงไปต่ำกว่า 5.50 บาท
ล่าสุด ราคาหุ้น LPN เคลื่อนไหวที่ 4.54 บาท ลบ 0.16 บาท (-3.40%)ตามดัชนีตลาด
*วางเป้าหมาย 3 ปีรายได้-กำไรโต 15-20%
"เรามองในหลายๆมิติ ถ้ามองในแง่ของผู้ถือหุ้น ว่าเราประกอบธุรกิจได้เติบโตปีละ 15-20% มี Gross Margin ปีละ 30% และ มี Net Profit Margin ปีละ 14-16% ก็น่าจะเป็นผลตอบแทนที่เหมาะสม มองแล้วก็ดีกับผู้ถือหุ้น และดีต่อบริษัทต่อพนักงานบริษัทก็ดีไปด้วย
...เชื่อว่าแต่ละปีจะมี growth สูงขึ้นไปเรื่อยๆเพราะแต่ละปี อัตราเติบโต เพราะฉะนั้นผลแตอบแทนก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และเราก็เชื่อว่าเราก็จะไปได้เรื่อยๆ"
นายโอภาส กล่าวว่า การตั้งเป้าเติบโตในช่วง 3 ปี(ปี 51-53)นั้น มาจากการที่บริษัทสร้างและส่งมอบโครงการให้เสร็จภายใน 1 ปี หรืออย่างช้า 1 ปีครึ่งสำหรับโครงการขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็ซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบปีละ 1.5 - 2 พันล้านบาท ทำให้มีเงินหมุนไปทำโครงการใหม่ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเพิ่มทุนหรือหาแหล่งเงินทุนอื่น รวมทั้งบริษัทไม่มีนโยบายซื้อที่ดินเก็บไว้
บริษัทยังเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การจับตลาดกลุ่ม B+ จนถึง C+ หรือกลุ่มผู้มีรายได้ 15,000-50,000 บาท/เดือน เดินมาถูกทางแล้วเพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อจริง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทที่ลงตัวกับวิถีชีวิตเปลี่ยนไปเป็นครอบครัวเล็กที่มีสมาชิก 2-4 คน ประกอบกับราคาน้ำมันสูงทำให้เร่งการตัดสินใจซื้อให้เร็วขึ้น ขณะที่ราคาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ก็มีราคาสูงขึ้นมาก
*รายได้-กำไรสุทธิ H2/51 สูงกว่า H1/51
นายโอภาส คาดว่า ในครึ่งปีหลังนี้ LPN จะมีรายได้ 3,700 ล้านบาทสูงขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 3,500 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิจะสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทจะได้รับประโยชน์มาตรการภาษีกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ทั้งสองไตรมาสหลัง จากช่วงครึ่งปีแรกได้รับประโยชน์เพียงในช่วงไตรมาส 2
ทั้งปี 51 คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 7.2 พันล่านบาท ซึ่งบริษัทได้ปรับการลดประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ที่ 7.8 พันล้านบาท หรือปรับอัตราเติบโตลดลงเหลือโต 10% จากเดิม 20% แต่มั่นใจปีนี้กำไรสุทธิจะโตกว่า 20% จากปีก่อน
"ก่อนที่เราจะปรับรายได้ทั้งรายได้กำไร จะเติบโตในทิศทางเดียวกัน ประมาณ 20% หลังจากที่เราปรับ รายได้จะโตประมาณ 10% แต่กำไรสุทธิยังเติบโตตามแผนเดิมที่วางไว้คือมากกว่า 20% เพราะเราได้ประโยชน์ทางภาษีธุรกิจอสังหาฯ" นายโอภาสกล่าว
และคาดว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามกำไรสุทธิที่คาดว่าปีนี้จะสูงกว่าปีที่แล้ว โดยงวดครึ่งแรกปีนี้บริษัทได้จ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.14 บาท สูงกว่าปีก่อนในงวดเดียวกัน 40%
ทั้งนี้ ปี 50 บริษัทจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 0.32 บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท
นายโอภาส กล่วว่า แม้ว่าสถานการณ์การเมืองยังไม่แน่นอน แต่ไม่ได้กระทบกับยอดขายและยอดรับรู้รายได้มาจากยอดขายที่มีอยู่แล้ว ใกล้ 100% และบริษัทใช้กลยุทธ์ขายก่อนสร้าง ทำให้ความเสี่ยงน้อยกว่าสร้างก่อนขายและก็มีระยะเวลาปรับกลยุทธ์
"เราดูมาตั้งแต่ต้นปี ยอดขายไม่ได้ปรับลงอย่างมีนัยสำคัญ และปีนี้ยอดขายดีกว่าปีที่แล้วด้วยซ้ำไป"นายโอภาส กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้(backlog) อยู่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้รับรู้ประมาณ 7.2 พันล้านบาท และ ปีหน้ารับรู้ฯ จำนวน 6.5 พันล้านบาท และในปี 53 ประมาณ 1.8 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทเลื่อนการรับรู้ฯ โครงการลุมพินี วิลล์ รามอินทรา-หลักสี่ มูลค่า 600 ล้านบาท ไปบันทึกรายได้ในไตรมาสที่ 1/52
และในไตรมาส 4/51 บริษัทคาดว่าจะเปิด 1-2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3.2-3.3 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทมีที่ดินอยู่แล้ว ได้แก่ ลุมพินีวิลล์ พระราม 9 เฟส 2 จากเฟส 1 ที่เปิดในเดือนมิ.ย.ซึ่งมียอดขายใกล้เต็มในขณะนี้ โดยเฟส 2 มีมูลค่า 2.6 พันล้านบาท
ส่วนอีกโครงการอยู่ที่รามอินทรา-หลักสี่ ซึ่งเมื่อปีก่อนเปิดโครงการนำร่องแล้ว แต่ยังมีความต้องการสูง จากการที่มีคนเข้ามาเยี่ยมชมตลอด บริษัทจึงเห็นควรเปิดเฟสใหม่เพิ่มเติม ซึ่งยังมีที่ดินอยู่ข้างหน้าโครงการ 4 ไร่เศษ จึงเปิดเฟสใหม่ จำนวน 500 ยูนิต มูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท ทั้งสองโครงการไปรับรู้ในปี 53
*ปี 52-53 รายได้-กำไรโต 15-20%
นายโอภาส กล่าวว่า ในปี 52 ยอดรับรู้รายได้จะเติบโต 20% เป็น 8.6 พันล้านบาท จะมาจาก backlog จำนวน 6.5 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการที่เปิดขายในปีนี้ในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 2.1 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย
และในปี 53 ก็จะรับรู้รายได้จาก backlog จำนวน 1.8 พันล้านบาท และที่เหลือจะมาจากโครงการลุมพินี เพลส พระราม 9 ที่มีมูลค่ารวมกัน 2 เฟส เท่ากับ 5,200 ล้านบาทที่จะรับรู้เป็นรายได้ในปีครึ่งแรกในปี 53 และคาดว่าทั้งปียอดรับรู้รายได้จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท
"กำไรในปี 52-53 จะมีอัตราเติบโตในระดับเดียวกับยอดรับรู้รายได้ โดยโตประมาณ 15-20% แม้จะไม่มีมาตรการภาษีฯมาช่วย เราก็มั่นใจ เพราะแต่ละโครงการมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 30%" นายโอภาส กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ปีละ 6-8 โครงการ เพื่อให้มียอดรับรู้รายได้มีอัตราเติบโต 15-20% โดยในปี 52 จะเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท จำนวนโครงการใหม่ประมาณ 6-8 โครงการ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดถึงความเหมาะสมเพื่อรักษาอัตราการเติบโตของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
"เราทำคอนโตมา 20 ปีมาแล้ว บริษัทมีการบริหารอาคาร บริหารชุมชน เรามีประสบการณ์ ดูแลมาตลอด ในความเชื่อของผม ความต้องการ(คอนโดมิเนียม)มีแต่จะเพิ่มกับเพิ่ม เพราะราคาน้ำมันกับการเดินทางเข้ามาในเมือง แลกกับการจ่ายค่าคอนโดจะดีกว่า คนอยากสะดวกสบายมากขึ้น" นายโอภาส กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--