บล.กิมเอ็ง พบหลายแบงก์ในไทยอาจลงทุนเกี่ยวพันเลห์แมนฯ แต่คาดกระทบไม่มาก

          ดัชนีกลุ่มแบงก์ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 217.12 จุด ลดลง 13.40 จุด(-5.81%)จากความกังวลว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเลห์แมน บราเธอร์ส ขณะที่บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ประเมินถึงผลกระทบจากเลห์แมนฯต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยระบุว่าจากการสอบถามไปยังธนาคารต่าง ๆ พบว่าธนาคารบางแห่งมีการลงทุนที่อาจเกี่ยวพันถึงเลห์แมนฯ แต่ผลกระทบอาจไม่ได้มีมากนัก 
          ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพ(BBL)มี exposure ประมาณ 3.5 พันล้านบาท โดยธนาคารอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ  แต่หากอยู่ในรูป CDO ก็จะไม่มีผลกระทบเนื่องจากมีการตั้งสำรอง 100% ไปแล้ว(BBL มีเงินลงทุนใน  CDO ประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.7 พันล้านบาท) แต่อย่างไรก็ตาม เราประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อธนาคาร เนื่องจากฐานกำไรและฐานเงินกองทุนที่สูง 
          ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)มีผลกระทบจากการลงทุนใน CDO โดย BAY มีเงินลงทุนใน CDO ประมาณ 85 ล้าน เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.8 พันล้านบาท มีการตั้งสำรองฯไปแล้ว 51% ดังนี้จึงยังคงมีความเสี่ยงสูงสุด อยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาท (ในขณะที่ประมาณการของเราได้ตั้งสำรองฯไปแล้ว 80% ดังนี้จึงมีความ เสี่ยงเพียงแค่ 600 ล้านบาท) ดังนี้คาดจะมีการตั้งสำรองฯเพิ่มเติมในไตรมาส 3/51 
          ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ยืนยันไม่มีธุรกรรมกับทางเลห์แมน ไม่ได้รับผลกระทบ 
          ธนาคารกรุงไทย(KTB)ไม่มีธุรกรรมโดยตรงกับเลห์แมน อาจได้รับผลกระทบจากเงินลงทุนใน CDO ซึ่ง KTB มีเงินลงทุนใน CDO ประมาณ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.3 พันล้านบาท มีการตั้งสำรองฯ ไปแล้ว 80% ดังนี้จึงยังคงมีความเสี่ยงสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านบาท  
          ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)มี exposure ซึ่งธนาคารอยู่ระหว่างการประเมินมูลค่าผลกระทบ                 
          ส่วนธนาคารทิสโก้(TISCO) มี exposure ในรูปของสินเชื่อที่ปล่อยให้แก่บริษัทลูกของเลห์แมนในประเทศไทย มูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อนำไปซื้ออาคารมาปล่อยเช่า โดยเงินกู้ดังกล่าวมีอาคารเป็นหลักประกัน และมีมูลค่าหลักประกันสูงกว่ามูลค่าสินเชื่อ อีกทั้งยังเป็นลูกหนี้ที่ดีอยู่ มีการจ่ายดอกเบี้ยปกติ 
          ธนาคารไทยธนาคาร(BT)เป็นอีกธนาคารที่คาดว่าน่าจะมี exposure จากกรณีเลห์แมนฯ ล้มละลาย เนื่องจากเป็นธนาคารหนึ่งที่มีการทำธุรกรรมในตลาดเงินระหว่างประเทศค่อนข้างมาก แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อทางธนาคารได้ 
          ส่วนธนาคารนครหลวงไทย(SCIB),ธนาคารทหารไทย(TMB), บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ในเบื้องต้นประเมินว่าไม่ได้รับผลกระทบที่มีนัยสำคัญ