ต่างชาติยังให้ความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย-คาดหวังสถานการณ์การเมืองดีขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 17, 2008 17:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายเพททรี เดอร์ ประธานกรรมการ บริษัท พี วาย เอ็น ฟันด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯยังให้น้ำหนักการลงทุนในเมืองไทยเป็น "Overweight" และยังสนใจเข้าลงทุนถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนี้บริษัทฯจะขาดทุนจากการลงทุน 30% จากพอร์ตลงทุนในหุ้น 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ในปัจจุบันบรรยากาศการลงทุน และปัญหาภายนอก รวมถึงสภาพคล่องที่น้อย 
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับลงแค่ไหน หากราคาหุ้นยังถูกก็น่าที่จะเข้าลงทุน แต่สิ่งที่เป็นห่วงเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่ขาดสภาพคล่อง เพราะการที่หุ้นมีราคาถูก แต่นักลงทุนไม่สามารถลงทุนได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ลำบากในการลงทุนในขณะนี้ โดยสิ่งที่ช่วยให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นได้ น่าจะมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลาย เพราะพื้นฐานของประเทศไทยยังดีอยู่
นายเพททรี กล่าวว่า นโยบายการลงทุนของบริษัทฯจะเลือกลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก และจะลงทุนเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง และจะถือไว้ก่อนจนกว่าราคาหุ้นจะปรับสูงขึ้นจึงขายทำกำไรออกมา ซึ่งบริษัทฯก็ได้ยึดหลักการลงทุนแบบนี้มาโดยตลอด แม้ปัจจุบันดัชนีฯจะปรับตัวลงต่ำแต่ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องขายออกมา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือผู้ร่วมลงทุนหรือกองทุนไม่มีเงินที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะตอนนี้ดัชนีฯปรับลดลงและหุ้นก็มีราคาถูก
ด้านนาย ANTHONY W. MARR กรรมการผู้จัดการ บริษัท Capital For Business จำกัด กล่าวว่า ยังให้ความสำคัญและน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองจะปรับตัวได้ดีขึ้น แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือการที่ประเทศไทยมีการปกครองจากการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถปกครองได้ จึงเห็นประชาธิปไตยของเมืองไทยเจริญเติบโตและเข้มแข็ง
ทั้งนี้ จากการลงทุน 12 เดือนย้อนหลัง ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ลดลง 7.7% แต่การลงทุนของบริษัทฯไม่ได้ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว จะลงทุนในหุ้นกู้ พันธบัตร และ Property Fund ด้วย
"การที่สถานการณ์โลกเป็นอย่างนี้ ทำให้ไทยมีเสถียรภาพอยู่ที่ว่าเราจะประคองการเมืองให้นิ่งได้อย่างไร ซึ่งหากทุกอย่างดีก็จะทำให้เงินไหลเข้ามาได้เอง"นาย ANTHONY กล่าว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ทั้งในเรื่องของเลห์แมนฯ และเรื่องของมอร์แกนฯที่อาจจะมีการควบรวมกิจการ ถือว่าประเมินได้อยากที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวไปในทิศทางใด เพราะประเด็นดังกล่าวได้เข้ามากดดันมากกว่าเมื่อเทียบกับประเด็นทางการเมือง
หลังจากนี้เชื่อว่าคงจะเห็นการถอนเงินในสองลักษณะ คือ การถอนเงินเพื่อถือเงินสด กับการขายทรัพย์สินเพื่อพยุง แต่เชื่อว่าการขายในครั้งนี้คงจะไม่มาก เพราะก่อนหน้านี้ต่างชาติได้ขายออกไปมากแล้วจำนวน 1.6 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากประเมินดัชนีหุ้นไทยยังถือว่าปรับตัวน้อยเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีปัญหาภายใน และสิ่งที่น่ากลัวจากนี้ไปน่าจะมาจากความกลัวที่ไม่รู้ว่าจะลากยาวหรือเป็นลูกโซ่ไปถึงไหน
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 30% เมื่อเทียบกับประเทศจีนถือว่ายังปรับตัวลงน้อยกว่า โดยจีนปรับตัวลงไปกว่า 60%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ