บมจ.สาลี่อุตสาหกรรม(SALEE)คาดรายได้และกำไรในช่วงครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง เนื่องจากส่งออกเป็นหลักขณะที่บาทอ่อนหนุน ด้านกำไรมีแววมีดีขึ้นจากต้นทุนที่ลดลงและการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ผล เดินหน้าแผนออกวอร์แรนต์ 60 ล้านหน่วยให้ผู้ถือหุ้นเดิมยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต.ไม่เกินเดือนนี้หรืออย่างช้าเดือนหน้า พร้อมหาพันธมิตรต่างประเทศรายใหม่หลังล้มดีลร่วมทุนเบลเยี่ยม
นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ SALEE มั่นว่า ยอดขายในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีออร์เดอร์ที่เข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 3/51 แล้ว อีกครั้งปกติช่วงครึ่งปีหลังจะเป็น high season ของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และในปีนี้ก็น่าเป็นไปตามนั้น เพราะส่วนใหญ่ปลายปีผู้ผลิตสินค้ามักจะเตรียมออกสินค้าโมเดลใหม่ๆในช่วงปีใหม่ ก็จะมีคำสั่งซื้อเข้ามามากในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4
"ช่วงไตรมาส 3/51 ยังขายได้ตามปกติ แม้จะมีปัญหาการเมืองบ้าง ถ้าเป็นในประเทศคงจะขายลำบาก แต่ถ้าตลาดต่างประเทศยังไม่ค่อยเท่าไร แต่ก็อาจจะเกี่ยวกับบางอุตสาหกรรมด้วยถ้าต่างประเทศ แต่ ณ ตอนนี้ลูกค้าก็ไม่ได้กังวลอะไร แต่ยอดขายจะไปดีในช่วงไตรมาส 4 หรือช่วงปลายปี" นายสุพจน์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
SALEE ตั้งเป้ารายได้ในปี 51 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 800 กว่าล้านบาท โดย ณ ขณะนี้บริษัทยังคงเป้าหมายเดิมไว้ หลังจากครึ่งปีแรกทำยอดขายได้แล้ว 450 ล้านบาท เพราะดูแนวโน้มในแง่ยอดขายครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดี เพราะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์หรืออุตสาหกรรมพลาสติกช่วงที่ผ่านมาก็ยังเติบโตได้ถึงแม้การเมืองวุ่นวาย
ขณะที่เงินบาทที่อ่อนค่าก็ส่งผลดีบ้างในส่วนของบริษัทย่อยคือ บ.เอสซี วาโด เพราะขายเป็นดอลลาร์ ซึ่งในเครือของบริษัททั้งกลุ่มส่งออกโดยตรง 10% ที่เหลือขายในประเทศให้กับลูกค้าเพื่อไปผลิตสินค้าขายต่างประเทศอีกที แต่สินค้าของบริษัทบางอย่างที่ขายในประเทศ เช่น ชิ้นส่วนพลาสติก เป็นพวกแพ็กเก็จจิ้งเอาไปใส่ชิ้นงานเพื่อส่งออกต่างประเทศด้วย จึงเหลือสัดส่วนที่ขายในประเทศไม่มาก
*คาดปีนี้กำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อนแน่นอน หลังครึ่งปีแรกตุนไว้แล้ว 23 ลบ.
นายสุพจน์ กล่าวว่า กำไรของบริษัทในปีนี้มีแนวโน้มจะเติบโตสูงกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ทำกำไรไปได้แล้วประมาณ 23 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 50 ที่มีกำไรสุทธิ 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับลงน่าจะส่งผลดีต่อในเรื่องต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถควบคุมไว้ได้ดี โดบปรับขึ้นมาประมาณ 2-3% เมื่อราคาน้ำมันปรับลดลงก็ช่วยลดต้นทุนส่วนนี้ไปได้ ทำให้คาดว่าจะส่งผลให้กำไรสุทธิในปีนี้จะดีกว่าก่อนมาก อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ ด้วย
"กำไรครึ่งแรกปีนี้ก็พอๆกับครึ่งแรกปีที่แล้ว(22.9 ลบ.)ตัวกำไรทั้งปีจึงพูดยาก เพราะยังไงก็ต้องดูงบฯทั้งปีจริงๆว่าเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ของลูกค่า คิดว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการก็ยังไปได้อยู่ ยังดีอยู่"นายสุพจน์ กล่าว
*ปี 52 ตั้งเป้ายอดขายโต 30%
สำหรับผลประกอบการในปี 52 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีนี้ เพราะยังมองว่าอุตสาหรรมที่เป็นลูกค้าเราก็ยังเติบโตได้อยู่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เป็นทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล(คอนซูมเมอร์โปรดักส์)ก็ยังน่าจะไปได้ เพราะคอนซูมเมอร์โปรดักส์ก็เป็นของจำเป็น เช่น แชมพู เครื่องสำอางค์ต่างๆ ซึ่งบริษัทผลิตฉลากให้สินค้าพวกนี้
ด้านชิ้นส่วนพลาสติกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตาม trend การเติบโตของโลกสิ่งต่างๆ ก็ใช้เป็นอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น ก่อนหน้านี้รถก็ไม่มีแผนที่ ตอนนี้ก็มีแผนที่เข้าไปรถ เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็เพิ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าไป
*เดินหน้าออกวอร์แรนต์ให้ผู้ถือหุ้นเดิม-หาพันธมิตรหลังล้มดีลร่วมทุนเบลเยี่ยม
นายสุพจน์ กล่าวว่า ขณะนี้แผนงานต่าง ๆ ของบริษัทยังเดินหน้าไปตามปกติ โดยบริษัทคาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เพื่อขออนุญาตออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้นสามัญ(วอร์แรนต์)จำนวน 60 ล้านหน่วยให้กับผู้ถือหุ้นเดิมภายในเดือนนี้หรือไม่เกินเดือนหน้า
"ตอนนี้เตรียมข้อมูลอยู่ โดยจะให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ไม่ได้ขายแจกฟรี จึงไม่น่าห่วงหรือเป็นกังวลเรื่องภาวะตลาดโดยรวมที่ไม่ค่อยดีในช่วงนี้ และคาดว่าจะเข้าเทรดได้สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าเพราะต้องรอก.ล.ต.อนุมัติก่อน"นายสุพจน์ กล่าว
นอกจากนั้น หลังจากล้มแผนร่วมทุนกับทาง Illochoma Group ของเบลเยี่ยมในการจัดตั้งบริษัทผลิตฉลาก Wet Glue Labels สำหรับภาชนะบรรจุไปแล้ว บริษัทก็ได้เจรจากับพันธมิตรต่างชาติรายอื่นอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ยืนยันได้ว่าไม่กระทบรายได้ในปีนี้ เพราะเป็นเป้าหมายที่ไม่ได้รวมโครงการนี้ตั้งแต่แรก และลูกค้าเก่าก็ยังมีออร์เดอร์เข้ามาตามปกติ
"ผู้บริหารคุยกับพันธมิตรต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ มีเข้ามาคุยอยู่ตลอดเวลาเบลเยี่ยมก็เป็นรายหนึ่ง ยังสรุปไม่ได้ในเร็วๆ นี้เพราะยังไม่รีบร้อนเราคงเน้นทำธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันให้โตและสร้างผลตอบแทนที่ดี"
นายสุพจน์ กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนในตอนนี้ และยังไม่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตหรือการลงทุนในใหม่ คงต้องดูเป็นจังหวะ เพราะการที่จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอยู่ที่ว่าออร์เดอร์เพิ่มจนกำลังการผลิตเราไม่พอ แต่ตอนนี้เราผลิตประมาณ 70-75% น่าจะยังเพิ่มกำลังการผลิตได้อยู่ ซึ่งออร์เดอร์มีหลายอุตสาหกรรมแล้วแต่ราคางานเราจึงตั้งเป้าเป็นลักษณะจำนวนเงินเป็นรายได้รวมมากกว่า เพราะอย่างแต่ละชิ้นจะไม่เท่ากัน
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--