นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานสนับสนุน บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC)เปิดเผยว่า
บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนระดมทุนรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการกู้เงินธนาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกต้นทุนทางการเงินที่ดีที่สุด โดยเบื้องต้นมี 2 แนวทาง คือ การออกหุ้นกู้ หรือการขยายกองทุนอสังหาริมทรัพย์จากที่มีอยู่ 1.2 พันล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 52
"การจะเลือกรูปแบบการระดมทุนแบบไหนคงตอบได้ยากในตอนนี้เพราะเราดูหลายอย่างทั้งภาวะตลาด ความน่าสนใจในช่วงนั้นและที่สำคัญที่ความต้องการเงิน ซึ่งการระดมทุนที่คล่องตัวสุดคือการกู้เงินและตอนนี้เราก็ยังรับต้นทุนจากสถาบันการเงินได้รองมาก็เป็นหุ้นกู้ และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งแต่ล่ะอย่างมีเงื่อนไขแตกต่างกัน" นายอรรถพล กล่าว
ทั้งนี้ หากเป็นการเพิ่มขนาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์คงจะนำอาคารชินวัตร 3 เข้าเป็นสินทรัพย์ จากปัจจุบันมีสินทรัพย์เป็นอาคารชินวัตร 1 และ ชินวัตร 2 นอกจากนี้ ยังมองการสร้างอาคารสำนักงานเพิ่ม 1 แห่งด้วยก็คงสรุปในปีหน้าเช่นกัน โดยขณะนี้มีตัวเลือกย่านถนนพหลโยธินกับถนนวิภาวดีรังสิต
นายอรรถพล กล่าวว่า การตัดสินใจต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวัง เพราะการซื้อที่ดินสร้างอาคารใหม่จะใช้ระยะเวลานาน 3-5 ปีถึงจะเห็นรายได้ที่เริ่มเข้ามา โดยปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากอาคารสำนักงาน 25% และจากโครงการที่สร้างเพื่อขาย75% และมองว่ามีโอกาสที่สัดส่วนอาคารสำนักงานอาจลดลงมาอยู่ที่ 20% เพราะยังไม่มีพื้นที่ใหม่ในการดำเนินการในช่วง 1-2 ปี
ด้านผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/51 โดยจะเปิดตัว 2 โครงการในเดือนต.ค.51มูลค่าโครงการรวม 900 ล้านบาท คือ โครงการทาวน์โฮม"วิสต้า ปาร์ค แจ้งวัฒนะ"ระดับราคาหลังละ 3 ล้านกว่า ๆ เกือบ 4 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้นย่านเกษตร-นวมินทร์ระดับราคาหลังละ 15-16 ล้านบาท
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า ปัญหาการเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท และเชื่อว่าผลประกอบถึงสิ้นปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมียอดขาย 5 พันล้านบาท ขณะที่รายได้ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 2 โครงการและครึ่งหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4/51 เป็นช่วงซีซันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย
สำหรับต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการทยอยปรับแผนกลยุทธ์และรูปแบบบ้าน โดยบางโครงการลดขนาดให้เล็กลง เช่น โครงการบ้านเดี่ยวที่เพรชเกษม 81 พื้นที่เหลือ120-140 ตารางเมตร จากเดิมที่มีขนาด 160-200 ตารางเมตร , ทาวน์โฮม 2 ชั้นขนาดเหลือ 100 ตารางเมตร จากเดิมที่ขนาด 130-140 ตารางเมตร แต่โครงการที่จะเปิดตัวในเดือน ต.ค นั้นคงจะไม่มีการปรับขนาด เพราะเป็นโครงการที่อยู่ในย่านความต้องการและกำลังซื้อสูง
นอกจากนี้ ยังได้มีการดูในเรื่องวัสดุบางอย่างปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุแทนแต่คุณภาพยังดี ซึ่งทำให้บริษัทคงราคาขายบ้านได้ระดับหนึ่ง แต่หากในอนาคตต้นทุนเพิ่มก็อาจจะปรับประมาณ 5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ผู้ซื้อรับได้
สำหรับคดีความที่อัยการระหว่างการพิจารณาคำร้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)ว่าจะสั่งฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น SC หรือไม่นั้น นายอรรถพล กล่าวยืนยันว่า บริษัทได้ยืนยันความบริสุทธิ์และส่งข้อมูลชี้แจงมาโดยตลอด ซึ่งคงขึ้นอยู่กับบทสรุปอัยการ แต่อย่างไรก็ตามอยากให้มอง SC ในด้านการดำเนินงานและเชื่อมั่นในความสามารถของบริษัทที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอมากกว่า
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--