โบรกฯหนุน"ซื้อ"DTAC มองกำไรปีนี้โตเด่นในกลุ่ม,ทำ 3Gเป็นบวก-ราคาหุ้นถูก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 26, 2008 12:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำลงทุนหุ้น บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น(DTAC)มองแนวโน้มการได้เข้าประกอบกิจการ 3G ก็จะเป็นปัจจัยบวกในปีหน้า ที่คาดการณ์กันว่าภายในกลางปี 52 น่าจะดำเนินธุรกิจได้ ขณะที่ปีนี้กำไรสุทธิน่าจะเติบโตดีทีสุดในกลุ่ม เพราะค่าใช้จ่ายลดลง ทั้งค่า IC  และ ภาษีนิติบุคคลลดลง 5% ประกอบกับราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำมาก ยังมี Upside Gain สุงเมื่อเทียบกับราคาพื้นฐาน           
หุ้น DTAC เช้านี้ราคาทรงตัวที่ 39.50 บาท เท่ากับราคาปิดวานนี้ โดยเมื่อ 18 ก.ย.ทีผ่านมา ราคาหุ้น DTAC ปรับลงต่ำสุดที่ 37.00 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 9 เดือน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.กิมเอ็ง ซื้อ 55.75
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 55.00
บล.บีฟิท ซื้อ 53.50
บล.ไซรัส ซื้อ 52.00
บล.ฟาร์อีสท์ ซื้อเก็งกำไร 51.50
บล.ดีบีเอส ซื้อ 50.00
น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มกำไรของ DTAC ในปี 51 จะเติบโต 73% จากปีก่อน แต่ถึงจะไม่นับรวมกำไรพิเศษจากชนะคดีกับดีพีโฟนจำนวน 3 พันล้านบาท กำไรสุทธิปีนี้ก็ยังน่าจะเติบโต 42% จากปีก่อน เพราะค่าใช้จ่ายของบริษัทลดลง โดยเฉพาะค่าเชื่อมโยงโครงข่าย(IC)และอัตราภาษีนิติบุคคลปีนี้จ่ายลดลง 5% ทั้งๆ ที่รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก
ประกอบกับ ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันถือว่าถูกมาก โดยราคาปิดวานนี้ที่ 39.50 พี/อี 11 เท่า และเมื่อกับราคาหุ้น TAC ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ วานนี้ปิดที่หุ้นละ 1.32 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 44-45 บาท ถือว่าราคาต่างกันมากกว่าปกติที่ราคาในตลาดหุ้นไทยกับสิงคโปร์จะต่างกันไม่มาก
"ถ้าดูราคา DTAC ถูกมาก ถ้าเทียบกับ ADVANC และถ้าเทียบกับ ราคา TAC ที่คลาดสิงคโปร์ ตอนนี้ราคาต่างกับหุ้นในเมืองไทยมาก ถ้าพูดด้วย ราคาหุ้น และ Valuation ราคาหุ้น DTAC ถูกมากเกินไป ในแง่เทคนิคเคิล ตอนนี้ราคา DTAC ลงมาจาก Peak ที่ปีนี้อยู่ที่ 60 บาท ก็เท่ากับลงมา 34% ซึ่งลงมาเยอะกว่า ADVANC ซึ่ง Peak อยู่ที่ 109 บาท จากราคาปิดวานนี้ 82.50 เท่ากับ ลงมา 24% ดังนั้น ด้วยราคา Valuation และเทคนิค หุ้น DTAC ถูกมาก"น.ส.จิตรา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในไตรมาส 3/51 คาดว่ากำไรสุทธิจะลดลงประมาณ 9% จากไตรมาส 2/51 ซึ่งเป็นปกติของไตรมาส 3 ที่ผลประกอบจะออกมาไม่ดีนัก ในปีนี้ยังได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมส่งผลให้ยอดลูกค้าใหม่ลดลงไปบ้าง และวิกฤติการเงินของโลกก็ส่งผลต่อลูกค้าเอสเอ็มอีบ้าง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/50 ถือว่าดีกว่าเพราะมีค่าใช้จ่ายลดลง
นักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)มองว่า ในปี 51 กำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)ของ DTAC จะเติบโตถึง 38% จากปีก่อน แต่ในปี 52 จะเติบโตลดลงเหลือ 16% แม้ว่าแนวโน้มธุรกิจยังสดใส แต่เนื่องจากปัจจุบันอัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่(Penetration Rate)อยู่ในระดับสูงแล้ว คือ 90% และยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ความมั่นใจผู้บริโภคในประเทศที่ลดต่ำลงด้วย
ดังนั้น จึงปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิลง 2.6% สำหรับปี 52 ราคาพื้นฐานจึงปรับลงเป็น 50.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF จากเดิมที่ 52.00 บาท อย่างไรก็ตาม เห็นว่า DTAC เป็นรายแรกๆที่ได้ประโยชน์จากการได้รับใบอนุญาต 3G ทำ
ให้มีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก จึงคงคำแนะนำ"ซื้อ"
สำหรับบทวิเคราะห์ของ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)คาดกำไรไตรมาส 3/51 เติบโต 46% จากปีก่อนเป็น 2 พันล้านบาท ปัจจัยหลักจากการประหยัดภาษี 5% หลังนำหุ้นเข้าตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้ว, คาดค่าเชื่อมโยงโครงข่าย(IC)สุทธิ จะเป็นพลิกจากรายจ่ายสุทธิ 738 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นรายได้สุทธิ 66 ล้านบาท, รายการหนี้เสียที่ลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, สามารถรักษาระดับอัตราค่าบริการเฉลี่ยไว้ได้ และ คาดว่าฐานลูกค้าขยายตัวสุทธิ 6.54 แสนเลขหมายเป็น 18 ล้าน
อย่างไรก็ดี ประมาณการกำไรนี้ต่ำกว่าไตรมาสก่อนหน้า 5% เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมในบางพื้นที่มีผลกระทบต่อการใช้งานและกิจกรรมทางการตลาดในช่วงเดือน ก.ย.อีกทั้งประมาณการรายได้ IC นั้นคาดว่าจะลดจากรายได้สุทธิ 152 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า อันเนื่องมาจากมีโปรโมชันคิดค่าโทรถูกสำหรับการโทรในโครงข่าย(on-net)ในตลาดมากขึ้นอันทำในลูกค้าโครงข่ายอื่นมีการโทรเข้ามาลดลง
นอกจากนี้ คาดว่า DTAC จะเริ่มให้บริการระบบ 3G บนความถี่ 850MHz ภายในกลางปีหน้า หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากกทช.แล้ว โดยขณะนี้ DTAC อยู่ระหว่างพัฒนาโครงข่ายปัจจุบันเพื่อมารองรับ ทั้งนี้ DTAC จะได้ประโยชน์ด้านการขยายบริการด้านบรอดแบนด์ไร้สายผ่านทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ notebook และโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ไม่ได้ให้ประโยชน์ด้านต้นทุนนักเพราะเป็นการให้บริการภายใต้สัมปทานเดิม
ด้านใบอนุญาตใหม่ 3G บนความถี่ 2.1 GHz ที่จะให้ประโยชน์ด้านการประหยัดต้นทุนต่อหน่วยในระยะยาวนั้น คาดว่า กทช จะสามารถจัดสรรได้ภายในกลางปีหน้าเป็นอย่างเร็ว และด้วยฐานลูกค้าใหญ่อันดับสองและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ถือว่า DTAC อยู่ในตำแหน่งที่ดีรองจาก ADVANC
ส่วน บล.ฟาร์อีสท์ มีมุมมองเชิงบวกต่อ DTAC มากขึ้น โดยเฉพาะกับราคา ณ ปัจจุบันที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจากเดิมที่เรามองว่า DTAC ไม่มี Upside ในการเข้าลงทุนมากนักและแนะนำเพียง “เต็มมูลค่า" แต่ด้วยราคาที่ปรับตัวลงมาอยู่ระดับใกล้เคียงกับราคา IPO เมื่อ มิ.ย.ปีที่แล้วที่ 40.00 บาท ขณะที่ผลประกอบการในปีนี้เราประเมินว่าในแง่กำไรปกติจะเติบโตถึง 50% YoY มาอยู่ที่ 8,457 ล้านบาท
ในเชิงกลยุทธ์จึงกล่าวได้ว่า Down Side สำหรับ DTAC เหลือจำกัด ในขณะที่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเชิงลบ และมี Upside หลักในปีหน้าจากประเด็นใบอนุญาต 3G จาก กทช. ที่คาดหวังกันว่าจะมีต้นทุนในการบริการที่ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดีประเด็นความคุ้มค่าของใบอนุญาต 3G บนคลื่น 2,100 GHz สำหรับ DTAC ก็ยังไม่สามารถจับต้องได้มากนัก
เพราะยังขึ้นอยู่กับอีก 2 ปัจจัยหลัก คือจำนวนเงินลงทุนที่ต้องใช้ในการประมูลใบอนุญาต 3G อายุ 15 ปี ที่ยังมีความใม่แน่นอนในเรื่องของจำนวนเม็ดเงิน และประเด็นการจ่ายค่าเช่าโครงข่ายเดิมแก่ CAT ที่ DTAC ต้องรับภาระหากต้องการ Roll out ระบบ 3G ความถี่ 2,100 GHz บนเสาโครงข่ายเดิมซึ่งพอจะอนุมานได้ว่าสุดท้ายแล้วค่าเช่าไม่น่าจะแตกต่างจากส่วนแบ่งรายได้ที่มีในสัปทานปัจจุบันมากนัก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ