ส.นักวิเคราะห์ อาจลดเป้าดัชนี SET ในอีก 2 สัปดาห์ มองวิกฤติสหรัฐยืดเยื้อ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 26, 2008 12:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมฯ จะหารือกับบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ที่เป็นสมาชิกในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อสำรวจความคิดเห็นที่มีต่อผลกระทบกรณีวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯ รวมถึงการประเมินนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อการประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยรอบใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นเชื่อว่าคาดการณ์ดัชนี SET คงจะปรับตัวลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่ระดับ 828 จุด(ส.ค.51)เนื่องจากยังเห็นการเทขายของต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าวิกฤติต่าง ๆ ในสหรัฐยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการแก้ไข และอาจจะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในบางช่วงตกต่ำด้วย ซึ่งมีผลทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจผันผวนบ้าง
นายสมบัติ เชื่อว่า อีก 2 เดือนนับจากนี้น่าจะยังเห็นการเทขายของต่างชาติมีออกมาอีก ทำให้ประเมินว่าจะได้เห็นดัชนี SET ปรับมาต่ำสุดใกล้เคียงกับระดับ 569 จุด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของโลกแล้ว ยังมาจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองในประเทศด้วย
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ช่วงวิกฤติซับไพร์ม ต่างชาติได้ขายหุ้นออกมาสุทธิ 2 แสนล้านบาทแล้ว ยังเหลือเม็ดเงินอีก 2 แสนล้านบาทที่ยังสามารถขายได้อีก จากวงเงินสะสมที่ซื้อก่อนหน้านี้ 4 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว นักลงทุนไทยก็อาจจะมีกำลังซื้อมากขึ้นจากกองทุนแมทชิ่งฟันด์ ช่วยประคับประคองไม่ให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลงแรง ซึ่งภายใต้ตลาดหุ้นในปัจจุบัน ทางสมาคมฯ ได้คัดหุ้นที่มีราคามูลค่าสูงกว่าราคาในกระดานกว่า 30% 14 ตัว เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุน เช่น KBANK ,SCB, PTT, TOP, BANPU, TTA เป็นต้น
ด้านนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติการเงินสหรัฐจะส่งกระทบภาวะเศรษฐกิจของโลกต่อไปอีก 2-3 ปี แต่เชื่อว่าจะคลี่คลายลงได้ในที่สุด และคาดว่าหลายประเทศรวมประเทศไทยจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากจะเห็นได้จากการที่ทาง บริษัท โนมูระ เข้าไปซื้อกิจการของเลห์แมน บราเธอร์สในยุโรป แสดงถึงความสามารถของประเทศในแถบเอเขียที่ยังมีสภาพคล่องสูง และไม่ไดั้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินในสหรัฐ
อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทย ก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง เพราะตลาดหสรัฐเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ ซึ่งไทยจะต้องปรับตัว โดยเร่งการเบิกจ่ายของภาครัฐ รวมถึงหันไปส่งออกที่ยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เช่น จีน เป็นต้น
นายมาริษ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มไอเอ็นจีในไทย และทั่วโลก ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินมากนัก และยังมีผลประกอบการที่มีกำไรทั้งกลุ่ม ประมาณ 4-5 แสนล้านบาทต่อปี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ