บมจ.เอสวีไอ(SVI)คงเป้ายอดขายปี 51 ที่ระดับ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,000 ล้านบาท เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าในยุโรปและสหรัฐเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในทวีปดังกล่าวจะมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากซับไพร์มและวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ของบริษัทยังได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาทที่ทำให้มารจิ้นในปีนี้สูงขึ้นเป็น 11% จากระดับ 10% ในปีก่อน
นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SVI กล่าวว่า อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 1/51 กำไรขั้นต้นก็อยู่ที่ 9.5% แต่ในไตรมาสที่ 2/51 กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10% โดยยอดขายของบริษัทยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากออเดอร์ทั้งรายเดิมและรายใหม่ แต่ค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
ส่วนยอดขายในไตรมาส 3/51 ก็ยังเติบโตต่อเนื่องจากได้รับออเดอร์การรับจ้างผลิตจากลูกค้าในแถบยุโรปเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำเมื่อเทียบกับรายอื่น
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐไม่ได้ส่งผลต่อแผนการเติบโตของบริษัท และลูกค้าสหรัฐและยุโรปไม่ได้ชะลอการสั่งซื้อ ทำให้เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านการขยายโรงงานแห่งใหม่ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม คงยังไม่ได้เห็นภายในปีนี้หรือปีหน้า น่าจะได้เห็นความชัดเจนได้ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นไป เพราะบริษัทต้องการให้โรงงานแห่งใหม่ที่ อ.บางกระดี จ.อยุธยา เดินเครื่องไปด้วยความเรียบร้อยและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องก่อน
"การขยายการสร้างโรงงานในต่างประเทศก็ยังเป็นโอกาส แต่ยังไม่เห็นในช่วงเร็วนี้เพราะเราจะต้อง launch โรงงานใหม่นี้ให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยพิจารณาแม้ออเดอร์ที่เข้ามาจะมากไม่พอกับกำลังการผลิตตอนนี้ก็ตาม และหากจะไปขยายในต่างประเทศคงจะเห็นในปี 2553 ไปมากกว่า ส่วนการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าช่วงไตรมาส 2 - 3 กับลูกค้าบางส่วนนั้นก็ทำเพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นเท่านั้น" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว"อินโฟเควสท์"
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า แม้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้ช่วยหนุนให้ราคาหุ้น SVI ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือมีสภาพคล่องมากขึ้น เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทยังอยู่ในมือของกองทุน H&Q จำนวน 877 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 59% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 1.6 พันล้านหุ้น ประกอบกับ ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็หวังที่จะถือในระยะยาวเพื่อหวังปันผลเพราะเป็นบริษัทที่สร้างกำไรต่อเนื่องได้ตลอด
ด้านแหล่งข่าวจากกองทุน H&Q กล่าวว่า การขายหุ้นในส่วนที่ถือนั้นตามข้อตกลงจะต้องทยอยขายออกมา แต่ก็ขอให้ผู้ที่จะมาซื้อนั้นจะต้องเป็นกองทุนและจะต้องถือหุ้นในระยะยาวด้วย หรือเป็นผู้ที่ดำเนินธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในการขายหุ้นนั้นบริษัทอาจจะเจรจาขอถือต่อก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมามีหลายรายแสดงความสนใจแต่ก็จะต้องพิจารณาเงื่อนไขที่เหมาะสมด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--