ตลาดหุ้นเอเชียดิ่งเหวถ้วนหน้าเช้านี้ หลังนลท.ตื่นข่าวคองเกรสคว่ำแผนฟื้นฟูภาคการเงิน

          ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียดิ่งลงถ้วนหน้าในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่สภาคองเกรสมีมติไม่อนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้จุดกระแสความวิตกกังวลว่าอาจมีธนาคารอีกหลายแห่งต้องล้มละลาย
          ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดเช้าร่วงลง 544.54 จุด แตะที่ 11199.07 จุด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งเปิดตลาดร่วง 982.35 แตะที่ 16,898.33 จุด ส่วนดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดตลาดดิ่งลง 3.9% แตะที่ระดับ 1,399.57 จุด 
          มิตซูชิเกะ อาคิโนะ นักวิเคราะห์จาก Investment Management Co. กล่าวว่า "ตลาดหุ้นเอเชียตื่นตระหนกหลังจากมีข่าวว่าสภาคองเกรสปฏิเสธแผนฟื้นฟูภาคการเงินของรัฐบาลสหรัฐ นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นอย่างหนักและบางกลุ่มได้ปลีกตัวออกไปอยู่นอกตลาด การที่สภาคองเกรสตัดสินใจเช่นนี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าอาจมีธนาคารล้มละลายอีกหลายแห่ง"
          สภาคองเกรสสหรัฐมีมติไม่รับแผนฟื้นฟูภาคเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ตามที่รัฐบาลสหรัฐยื่นเสนอก่อนหน้านี้ โดยหลังจากที่สมาชิกสภาคองเกรสพิจารณาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง จึงได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 228 ต่อ 205 เสียง ไม่รับรองร่างกฎหมายแผนฟื้นฟูภาคการเงิน โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มั่นใจในแผนการดังกล่าว 
          ข่าวดังกล่าวได้ฉุดดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 777.68 จุด หรือ 6.98% ปิดที่ 10,365.45 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี และสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วตลาด
          นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า รัฐบาลอังกฤษได้เข้าซื้อกิจการของธนาคารแบรดฟอร์ด แอนด์ บิงลีย์ หลังจากที่สถาบันการเงินแห่งนี้ขาดทุนอย่างหนัก ขณะที่ธนาคารคู่แข่งปฏิเสธที่จะเป็นผู้ซื้อสินทรัพย์จำนองที่ลูกหนี้ไม่สามารถผ่อนชำระได้
          แบรดฟอร์ด แอนด์ บิงลีย์ กลายเป็นธนาคารของอังกฤษรายล่าสุดที่ถูกแปรสภาพไปเป็นกิจการของรัฐในปีนี้ เช่นเดียวกับธนาคารนอร์ทเทิร์น ร็อค ขณะที่รัฐบาลทั่วโลกต่างดำเนินมาตรการป้องกันการล้มละลายของธนาคารกันถ้วนหน้า โดยเจ้าหน้าที่กำกับดูแลในเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์กได้อัดฉีดเงิน 1.12 หมื่นล้านยูโร (1.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่ออุ้มกิจการของฟอร์ติส สถาบันการเงินรายใหญ่อันดับ 1 ของเบลเยี่ยม และรัฐบาลสหรัฐได้เข้าซื้อกิจการของวอชิงตัน มูชวล อิงค์ไปเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน