นายอาชว์ เตาลานนท์ รองประธานกรรมการ และประธานคณะทำงานสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า วิกฤติการเงินของเศรษฐกิจสหรัฐฯ คงไม่ส่งผลกระทบกับเครือฯ เนื่องจากเครือฯ ยังคงแผนการลงทุนเดิม คือ ในแถบอาเซียน จีน และ อินเดีย
ขณะที่แผนการระดมทุนของบริษัทในเคือ อย่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ยังคงเดินหน้าตามแผน ไม่ได้ชะลอ แต่จะระดมทุนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
นายอาชว์ กล่าวว่า ตามที่สภาคองเกรสไม่เห็นชอบแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก และตลาดหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรง แต่เชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐจะผลักดันแผนดังกล่าวออกมา เพื่อพยุงเศรษฐกิจของสหรัฐเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินของสหรัฐและต่อเนื่องไปยังยุโรปและญี่ปุ่น เพราะประเทศไทยมีการส่งออกไปสหรัฐถึง 20% โดยเฉพาะปี 52 เชื่อว่าภาคการส่งออกจะไม่สดใส กลุ่มที่มีความเสี่ยงคือ อัญมณีและสินค้าฟุ่มเฟือย
โดยส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลไทยควรเข้ามาแก้ปัญหาโดยให้การอุดหนุนธุรกิจ SME และสนับสนุนสภาพคล่องให้กับประชาชน ซึ่ง ประเด็นหลักที่จะเสนอ คือ ขอให้รัฐบาลคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ, เร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์อย่างจริงจังและชัดเจน, เร่งสร้างความเชื่อมั่นทางการเมือง
"เศรษฐกิจของไทยคงจะชะลอตามเศรษฐกิจสหรัฐอีก 1-2 ปี ปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตไม่ถึง 1% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ CPF เองยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และระมัดระวังการลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่จะไม่ชะลอแผนการลงทุน โดยจะยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารไปยังประเทศรัสเซีย อินเดีย จีน และกลุ่มประเทศอาเซียนที่ยังมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจของสหรัฐ และเชื่อว่ารายได้ของบริษัทจะเพียงพอต่อการลงทุน"นายอาชว์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังคงแผนการออกหุ้นกู้ และตราสารทางการเงินอื่นๆ ทั้งของบริษัท และบริษีทในเครืออย่าง TRUE ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็จะระดมเงินเท่าที่จำเป็น และระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินในภายหลัง และยังมีคณะกรรมการด้านการเงินให้คำปรึกษาและดูแล จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มจะไม่ได้รับกระทบ
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินตนะกุล รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเกษตร อุตสาหกรรมและอาหาร เขตประเทศไทย เครือซีพี คาดว่าผลกระทบจากสหรัฐจะทำให้ภาคการส่งออกของไทยปรับตัวลดลงในระยะ 6-12 เดือน ประมาณ 10% หรือลดลงประมาณ 1.4 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน เนื่องจากตลาดส่งออกหลักของไทย 60% คือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น
และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังปี 52 เป็นอันให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยคาดว่าเศรษฐกิจในปี 52 จะขยายตัวได้ 4.5% จากปี 51 ที่จะขยายตัว 5% โดยผลกระทบหลักมาจากภาคส่งออก ดังนั้น รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเร่งการใช้จ่ายเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของภาคการลงทุน
"จากการที่เศรษฐกิจหดตัว ซีพีก็ต้องปรับตัวโดยการลดต้นทุนการผลิตให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจและยอมรับว่าปี 52 คงเป็นปีที่ไม่สดใสสำหรับภาคการส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวม แต่เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจอาหารจะได้รับผลกระทบหลังสุด เพราะเป็นสินค้าจำเป็น"นายพรศิลป์ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--