ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กนลท.หวังคองเกรสผ่านแผนฟื้นฟู หนุนดาวโจนส์ปิดพุ่ง 485.21 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 1, 2008 06:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดขึ้นกว่า 480 จุดเมื่อคืนนี้ (30 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าสภาคองเกรสจะนำแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐกลับมาพิจารณาใหม่และจะอนุมัติให้มีผลบังคับใช้ในที่สุด ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาดูว่าวุฒิสภาสหรัฐจะเห็นชอบต่อแผนฟื้นฟูฉบับดังกล่าวหรือไม่ ในการประชุมคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 485.21 จุด หรือ 4.68% แตะที่ 10,850.66 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดพุ่ง 58.35 จุด หรือ 5.27% แตะที่ 1,164.74 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 98.60 จุด หรือ 4.97% แตะที่ 2,082.33 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.62 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.37 พันล้านหุ้น
เจสัน เวสเบิร์ก นักวิเคราะห์จากบริษัท Seaport Securities ในนิวยอร์กกล่าวว่า "นักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อหุ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงไปกว่า 700 จุดเมื่อวันจันทร์ ซึ่งแรงซื้อช่วยหนุนดัชนีให้ดีดกลับขึ้นมากว่า 480 จุด อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายยังคงผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ว่าจะผ่านมติสภาคองเกรสและวุฒิสภาหรือไม่ ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังคาดหวังว่าท้ายที่สุดแล้วคองเกรสจะมีมติรับแผนการดังกล่าวเพื่อปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้ถดถอยลง"
นักลงทุนขานรับข่าวประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เปิดทำเนียบขาวแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขึ้นอยู่กับการผลักดันมาตรการฟื้นฟูภาคการเงินของรัฐบาล มิฉะนั้นเศรษฐกิจจะเสียหายอย่างรุนแรงและยืดเยื้อยาวนาน
ทั้งนี้ บุชกล่าวว่า "ผมขอให้ชาวสหรัฐและประชาชนทั่วโลกมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่การสิ้นสุดของกระบวนการนิติบัญญัติ ผมให้คำมั่นสัญญาว่าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของเราจะเดินหน้าเจรจากับแกนนำในสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้เพื่อปรับปรุงกฎหมายที่จะแก้ไขวิกฤติ ทางการเงินของสหรัฐที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่"
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ หลังจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตามมาตรฐานตลาดลอนดอน (LIBOR) พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูงขึ้นและทำให้ภาคธุรกิจยากที่จะเข้าถึงแหล่งเงินกู้ โดยอัตราดอกเบี้ย LIBOR ประเภท 3 เดือนสกุลดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.05% จากวันจันทร์ที่ระดับ 3.88% และอัตราดอกเบี้ย LIBOR ประเภท 3 เดือนสกุลเงินยูโร พุ่งขึ้นแตะระดับ 5.27% จากวันจันทร์ที่ระดับ 5.22%
นักลงทุนให้น้ำหนักกับข้อมูลเศรษฐกิจที่สหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ รวมถึงดัชนีราคาบ้านของ S&P/Case-Shiller ที่บ่งชี้ว่าราคาบ้านเดี่ยวในสหรัฐดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ 16.3% ในเดือนก.ค. ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนก.ย.ปรับตัวแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ประจำเดือนก.ย.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะร่วงลงอีก 105,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ส่งผลกระทบไปเกือบทุกภาคส่วนของสหรัฐ
เดวิด เรสเลอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Nomura Securities International Inc. กล่าวว่า "วิกฤตการณ์สินเชื่อและปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการเงินของสหรัฐกำลังลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ และทำให้จำนวนคนตกงานพุ่งสูงขึ้น อีกทั้งบั่นทอนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคให้ทรุดตัวลงด้วย ตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอลงมากกว่าที่ประเมินกันไว้ในเบื้องต้น และคาดว่าจะอ่อนลงอีกหากมีปัจจัยลบเข้ามาฉุดรั้งให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงรุนแรงกว่านี้"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ