บล.ยูไนเต็ด (US) เปิดเผยในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า จากการหารือกับผู้บริหารของ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี(STA)รับทราบข้อมูลว่าในปี 52 บริษัทมีแผนเตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 10% จากคำสั่งผลิตยางแท่งที่ยังไหลเข้าต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตของยางแท่งที่เกือบเต็มแล้วในปัจจุบัน รวมทั้ง คาดราคายางพาราปี 52 น่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าปี 51
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนใช้เงินลงทุนรวม 500-600 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 10% เป็น 62,500 ตัน/วัน โดยแบ่งเป็น การตั้งโรงงานใหม่ที่ จ.หนองคาย ขนาดกำลังการผลิตราว 4,000 ตันต่อวัน คาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ใน H2/52 และ เพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานประเทศอินโดนีเซียอีก 2,000 ตัน/วัน เป็น 6,000 ตัน/วัน เบื้องต้นจะทยอยเสร็จและเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่ต้นปี 52
ปัจจุบัน STA มีกำลังการผลิตรวมกว่า 0.63 ล้านตันหรือคิดเป็นเกือบ 22% ของผลผลิตรวมของไทย อีกทั้ง มีบริษัทย่อยดำเนินงานกิจการในอินโดนีเซียด้วย มีกำลังการผลิตรวม 0.05 ตันต่อปี
ในด้านผลประกอบการ ผู้บริหารเชื่อมั่นแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะแม้จะผ่านช่วง High season ของอุตสาหกรรมยางพาราไทยไปแล้ว และราคายางพาราทั้งยางแผ่น (RSS3) กับยางแท่ง (STR20) ในตลาดสิงคโปร์ (SICOM) ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค.51 จะปรับลดลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมันมาอยู่ที่ระดับ 2,500-2,600 เหรียญสหรัฐ/ตันในปัจจุบัน
แต่ด้วยจุดเด่นของ STA ที่เน้นจำหน่ายสินค้าที่เป็นมาตรฐาน (Mass Product) ซึ่งกลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนเพื่อทดแทนสินค้าเดิม (Replacement) และมีฐานลูกค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30% ของรายได้รวมแล้ว จึงทำให้บริษัทยังมีคำสั่งซื้อไหลเข้าต่อเนื่อง กอปรกับผลบวกจากค่าเงินบาทเฉลี่ยใน 3Q51 ที่ยังอ่อนค่าลงอีก 5%QoQ ที่ 33.8 บาท/ดอลลาร์ จึงทำให้ราคาขายยางเฉลี่ยในรูปเงินบาทช่วง 3Q51 สูงกว่า 3Q50 ถึง 41%YoY และ 43%YoY มาอยู่ที่กิโลกรัมละ 103 บาทและ 102 บาท ตามลำดับ
US ระบุว่า แม้เราประมาณการผลการดำเนินงาน 2H51 จะชะลอตัวลงจาก 1H51 ที่มีกำไรปกติกว่า 498 ล้านบาท แต่จากการที่เรามีมุมมองที่ดีต่อกลยุทธ์การบริหารงานของบริษัทที่หันเน้นปิดสถานะการซื้อขายมากขึ้นภายใต้ภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนในปัจจุบัน ทำให้คาดว่า 3Q51 จะยังมีกำไรสุทธิได้อีก 114 ล้านบาท และส่งผลเราปรับประมาณการกำไรปกติปี 51-52 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 493 ล้านบาทและ 571 ล้านบาท มาอยู่ที่ 706 ล้านบาทและ 641 ล้านบาท ตามลำดับ อ้างอิงสมมติฐานใหม่ตามตารางด้านข้าง
สำหรับราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่สะท้อนผลการดำเนินงานปี 51 ที่จะโตโดดเด่น โดยซื้อขายที่ระดับ PER เพียง 3 เท่าและส่งผล Dividend Yeild ณ ปัจจุบัน สูงกว่า 12% ดังนั้น จึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อลงทุน" โดยใช้ราคาเป้าหมายปี 51 ที่ 17.64 บาท
หุ้น STA ลบ 1.65% มาที่ 11.90 บาท ปรับตัวลดลง 0.20 บาท เมื่อเวลา 10.53 น.
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--