นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) คาดว่า บริษัทคงจะต้องทบทวนแผนการลงทุนในปี 52 หลังจากภาวะเศรษฐกิจของโลกมีความผันผวนอย่างหนัก โดยก่อนหน้านี้บริษัทมีแผนจะลงทุนสร้างท่าเรือและคลังสินค้าในภาคตะวันออก และภาคใต้ ใช้เงินประมาณ 300-400 ล้านบาท อาจต้องมีการลดขนาดการลงทุนลงและคงได้ข้อสรุปในปีหน้า ตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจาที่ดิน
"จากเดิมที่จะสร้างทั้งคลังสินค้าและท่าเรือ อาจจะต้องลดขนาดการสร้าง หรือ ทยอยการลงทุน โดยพื้นที่ที่พิจารณา 2 แห่ง อาจไม่มีการสร้างท่าเรือ สร้างเพียงคลังสินค้าเพื่อไม่ให้เงินลงทุนเยอะเกินไป เพราะช่วงนี้ต้องทำอะไรอย่างรอบคอบแม้เราจะมีกระแสเงินสด และเงินกู้ค่อนข้างมาก แต่การถือเงินสดไว้กับตัวในภาวะแบบนี้ถือว่าปลอดภัยที่สุด"นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าแผนการร่วมลงทุนในธุรกิจเหมืองในอินโดนีเซีย นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าร่วมทุนที่เป็นไปได้อยู่ 3-4 ราย ไม่ได้มีการยกเลิก แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกลับยิ่งน่าจะส่งผลดีต่อการเข้าร่วมลงทุน เพราะอาจทำให้บริษัทเข้าร่วมลงทุนในราคาที่ถูกลง ปัจจัยที่พิจารณาจะดูที่ปริมาณสำรองของถ่านหิน อายุสัมปทาน และพื้นที่สะดวกต่อการขนส่งหรือไม่
"3-4 บริษัทที่เราดู และต้องการเข้าไปร่วมทุนต้องมีความสามารถและความชำนาญในการทำเหมืองถ่านหิน เพราะ UMS ไม่เก่งทางด้านขุดเจาะถ่านหิน แต่เราเก่งทางด้านการขายและเทรดดิ้ง ดังนั้นการร่วมทุนก็จะต้องมีการร่วมทุนที่เป็นไปได้ และเกื้อหนุนซี่งกันและกัน เพราะเราก็อยากลงไปถึงธุรกิจต้นน้ำ มากกว่าการซื้อมาขายไปเท่านั้น"นายชัยวัฒน์ ระบุ
ส่วนทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลนั้น ส่งผลต่อราคาถ่านหินบ้าง แต่ราคาถ่านหินในขณะนี้ยังถือว่าสูงเพียงพอที่จะจูงใจให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมหันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อพลิง แต่บริษัทก็พร้อมจะปรับลดราคาขายถ่านหินให้กับลูกค้า หากราคาในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ UMS ก็ยังจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 30% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับ 12-15%
ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 30% จากครึ่งปีแรกที่เติบโตแล้ว 48% และมีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตสูงกว่าเป้าหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวในปี 52 อาจจะได้รับผลกระทบโดยอ้อมจากการที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นผู้ผลิตและส่งออกค่อนข้างมาก โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างสำรวจ อาจจะทำให้ปริมาณการสั่งถ่านหินลดลงได้ตามกำลังการผลิตของลูกค้าที่ต้องปรับตัวลดลง
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทต้องปรับตัวโดยการพยายามลดต้นทุน โดยเฉพาะค่าขนส่ง หลังมีคลังสินค้าและท่าเรือของตัวเองที่สวนส้ม จ.สมุทรสาคร และที่ จ.อยุธยา ประกอบกับได้รับรายได้เพิ่มจากการให้ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาเช่าใช้ท่าเรือของบริษัท
ด้านราคาหุ้น UMS ที่ปรับตัวลดลงในระยะนี้ เป็นผลมาจากภาวะตลาดโดยรวม แต่ยืนยันว่า UMS เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยในปี 50 บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 2 บาท และปีนี้ปันผลระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 1 บาท ก็มีความเป็นไปได้ที่ครึ่งปีหลังจะปันผลไม่น้อยกว่า 1 บาท หากเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันเป็นผลตอบแทนที่สูงถึงประมาณ 10%
UMS เป็นผู้ขายถ่านหินรายใหญ่เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มลุกค้าอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก โดยมีมาร์เก็ตแชร์ 55% ส่วนบมจ.เอเชียกรีน (AGE) มีมาร์เก็ตแชร์ 35% ที่เหลือ 10% เป็นของรายอื่นๆ ที่มีประมาณ 4-5 ราย
ขณะนี้เริ่มมีคนทยอยใช้สิทธิ์วอร์แรนท์ของบริษัทบางส่วนแล้ว จากที่จะครบอายุในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งหากมีผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด บริษัทจะมีเงิน 500-600 ล้านบาทลงทุนกิจการในอนาคตและยังมีวงเงินกู้ที่ขออนุมัติจากธนาคารไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ใช่อีก 200 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเงินลงทุนของบริษัท
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ Port Services เพื่อรองรับธุรกิจท่าเรือ คาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้งได้เร็วๆ นี้
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--