นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บีฟิท(BSEC) เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการป้องกันความเสี่ยงของลูกค้าที่เล่นหุ้นด้วยมาร์จิน โดยได้ปรับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ(มาร์จิน)ให้แก่ลูกค้าเป็น 3 ระดับด้วย ในสัดส่วนของเรียกเงินวางหลักประกัน(Call margin) : บังคับให้ขายออก(Force Sell) ดังนี้ 45:35, 40:35 และ 35:28 ตามลำดับ ซึ่งจะพิจารณาจากแต่ละบุคคล และแต่ละหลักทรัพย์ โดยจะมีการคิดในระหว่างวันทันที เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง
บริษัทฯยังพร้อมจะเปิดเครดิตบาลานซ์ให้ลูกค้า โดยยังมีวงเงินปล่อยกู้ได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีลูกค้าที่เล่นมาร์จิ้น 20 ราย ยอดสินเชื่อรวม 245-250 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากจากที่ก่อนหน้านี้เคยปล่อยกู้ให้ถึงกว่า 900 ล้านบาทในช่วงที่ภาวะตลาดฯดี
หลักทรัพย์ที่ลูกค้านำมาใช้ในการค้ำประกันการเล่นมาร์จินกับบริษัทฯมีกว่า 1,000 ล้านบาท ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้ว่าบริษัทฯมีการ Force Sell หุ้นของลูกค้าอยู่ค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ลูกค้าก็ยังรับได้ และยังมีเงินเหลือเก็บกลับไป ขณะเดียวกันบริษัทฯก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยในขณะนี้
"ก่อนที่เราจะทำการ Force Sell ในระหว่างวันก็จะมีการติดต่อกับลูกค้าก่อน ให้นำเงินเข้ามาเติม เพราะหากไม่เติมก็แสดงว่ายินดีที่จะให้บริษัทขายออก แต่ถ้าเกิดกรณีที่ติดต่อกับลูกค้าไม่ได้ก็ถือว่าขายเลย เพราะก่อนที่ลูกค้าจะเล่นหุ้นด้วยมาร์จิน ได้มีการเซ็นสัญญาไว้กับบริษัทฯแล้ว เพราะฉะนั้นลูกค้าจะเข้าใจเป็นอย่างดี"นายประสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทางสำนักงานก.ล.ต.ส่งแบบฟอร์มให้ทุกโบรกเกอร์แจ้งการซื้อขายหุ้นของลูกค้าให้ก.ล.ต.ทราบทุกวัน โดยแบบฟอร์มดังกล่าวนี้มีสิ่งที่จะต้องแจ้งในเรื่องการซื้อขายหุ้นของลูกค้าที่เล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินสด, บัญชีการซื้อขายด้วยมาร์จิน, และลูกค้าที่ซื้อขายหุ้นในตลาดล่วงหน้า ซึ่งบริษัทก็พร้อมจะปฏิบัติตาม
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน BSEC มีบัญชีลูกค้าด้านหลักทรัพย์ 6,000 บัญชี และมีบัญชีที่ Active กว่า 2,000 บัญชี ส่วนมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจหลักทรัพย์ อยู่ที่ 3.5-3.6% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ปีนี้(2551)ที่ 5% พร้อมมองว่าปีนี้คงจะทำมาร์เก็ตแชร์ให้ถึงเป้าหมายได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากภาวะตลาดฯไม่ดี
ส่วนพอร์ตลงทุนของบริษัทฯยังมีวงเงินไม่มาก และจะเป็นลงทุนระยะสั้น ซึ่งครึ่งปีที่ผ่านมาก็ได้ทำกำไรให้มากกว่า 20 ล้านบาท
นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ BSEC กล่าวว่า บริษัทฯมีลูกค้า IPO ในมือประมาณ 10-15 ราย โดยลูกค้าที่ยื่นข้อมูลไฟลิ่งไปแล้วมีจำนวน 5 บริษัทฯ ที่สำนักงานก.ล.ต.ยังอยู่ระหว่างพิจารณาส่วนที่เหลืออีกราว 10 บริษัทฯคาดว่าจะยื่นข้อมูลไฟลิ่งให้สำนักงานก.ล.ต.พิจารณาในปีหน้า(2552) ส่วนปีนี้คงจะไม่ยื่นข้อมูลไฟลิ่งแล้ว
สำหรับหุ้นของบมจ. ไทยโพลีคอนส์ ซึ่งได้รับการอนุมัติข้อมูลไฟลิ่งจากสำนักงานก.ล.ต.แล้ว รอเพียงการเสนอขาย IPO เท่านั้น ซึ่งเวลานี้ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินก็ยังคงรอให้ภาวะตลาดฯดีขึ้น โดยยังคงมองว่าจะเสนอขาย IPO ในช่วงเดือน พ.ย.นี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากภาวะตลาดฯยังไม่ดีก็มีโอกาสที่จะเลื่อนไปเสนอขายในปีหน้าแทน
นายทวีชัย กล่าวว่า จากที่ทางตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดฯใหม่ 37 บริษัทฯด้วยกันนั้น มองว่าด้วยภาวะตลาดฯเป็นอย่างนี้คงจะเป็นไปได้ยาก ไม่น่าจะถึงเป้า เพราะภาวะตลาดฯไม่เอื้อเลย ทำให้ไม่มีใครอยากจะเข้ามาในเวลานี้
อนึ่ง บมจ.ไทยโพลีคอนส์ จะเสนอขายหุ้น IPO 100 ล้านหุ้น และจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai)โดยบริษัทฯประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ทั้งงานก่อสร้างอาคารสูงเพื่อที่พักอาศัยและศูนย์การค้า, อาคารสำนักงานขนาดใหญ่, คลังสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม และโรงงานผลิตไฟฟ้า รวมถึงงานก่อสร้างเพื่อตกแต่งและปรับปรุงอาคาร
ด้านนายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ BSEC กล่าวว่า ปีหน้า(2552)คาดว่ากลุ่มธุรกิจ Real Sector จะได้รับผลกระทบแน่ โดยมองว่าสถาบันการเงินในสหรัฐฯที่มีการล้มละลายไปนั้นอาจจะทำให้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินไม่เหมือนเดิม ความกล้าอาจจะลดลง
ดังนั้น เศรษฐกิจโดยรวมอาจจะชะงักได้ ซึ่งปีหน้ามองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)จะต้องชะลอแน่นอน โดยขณะนี้ยังคงประมาณการตัวเลข GDP ปี 52 เติบโตใกล้ 5% สอดคล้องกับเป้าหมายดัชนี SET ปี 52 ที่คาดไว้ที่ 704, 761 จุด แต่ขณะนี้คาดว่าจะมีการปรับลดลง เพราะมองว่าตัวเลข GDP ปีหน้าคงจะเติบโตไม่ถึง 5% แล้ว
ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้(2551)ได้มีการประเมินไว้เมื่อช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาที่ 497 จุดในกรณีเกิดเหตุเลวร้าย และจะยังคงไม่มีการเปลี่ยนเป้าหมายของปีนี้ แต่จะไปมองปีหน้าแทน ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า(2552)จะมีการเติบโตแค่ 3.2% จากปีนี้(2551)ที่ส่วนใหญ่ยังคาดการณ์กันว่าจะมีการเติบโตกว่า 10%
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ราคาหุ้นบนกระดานมีการปรับตัวลงมามาก ทำให้เกิดความน่าสนใจที่จะลงทุน โดยเวลานี้ได้แนะนำให้"ซื้อ"เข้าพอร์ตบางส่วนได้แล้ว โดยให้พิจารณาจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หากอยู่ในระดับที่ 10% ก็คิดว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--