บรรดาผู้เกี่ยวข้องตลาดทุนมองวิกฤติการเงิน แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 40 เนื่องจากพื้นฐานการเงินไทยแข็งแกร่ง แต่ปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนสถานการณ์ขณะนี้คือความเชื่อมั่น มองดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวถ้ามีมาตรการสนับสนุนตรงจุด ขณะที่โบรกเกอร์ต่างประเทศหนุนตลาดหลักทรัพย์ไม่ควรปิดเทรด เพราะจะยิ่งเพิ่มความไม่มั่นใจ
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับลดลงมากกว่า 400 จุดหรือไม่ ตรงนี้คงขึ้นกับนักลงทุนต่างชาติว่าจะเทขายออกมาอีกหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่ายังคงเห็นการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ จากที่ขายออกมาแล้ว 1.3 แสนล้านบาท
แต่อยากให้มั่นใจว่า การปรับตัวลดลงครั้งนี้ และสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นจะไม่เหมือนวิกฤติในปี 40 เพราะประเทศไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง(real sector)ที่ยังเติบโตได้ดี ประเด็นสำคัญขณะนี้คงขึ้นกับความเชื่อมั่นท่านั้น
"ผลกระทบตอนนี้อยู่ที่ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนไม่ว่าจะไทยหรือต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องปกติที่เมื่อไม่มีความเชื่อมั่นย่อมทำให้ระดับราคาของหุ้นมีความผันผวน แต่ก็ไม่อยากที่จะให้ลดการลงทุน แต่อยากให้ระมัดระวังการลงทุน โดยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะสอดคล้องกับการที่เริ่มให้สมาคมนักวิเคราะหลักทรัพย์ทำการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน" นายปกรณ์ กล่าว
ทางด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมจะแจ้งให้สมาชิกทบทวนการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยการตั้งสมมติฐานใหม่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ GDP ของสหรัฐที่ติดลบ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมาก ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสที่จะชะลอตัวต่ำกว่า 4% เพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลตัดสินใจเข้ามาลงทุนได้อย่างชัดเจน โดยคาดว่าจะได้บทสรุปจากโบรกเกอร์ภายในปลายสัปดาห์หน้า
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ที่ปรึกษา รมว.คลัง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว เพราะปัจจุบันพื้นฐานยังแข็งแกร่งอยู่ หากแก้ไขวิกฤติทางการเงินได้ ตลาดหุ้นจะเป็นสิ่งที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย ถึงแม้ตอนนี้จะไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อภาพรวมของประเทศไทยก็ตาม
ส่วนเม็ดเงินที่ไหลออกของต่างชาติและทำให้ตลาดปรับลดลงนั้น ในอีกแง่มุมหนึ่ง ค่าเงินบาทกลับอ่อนลงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น จึงชี้ให้เห็นว่าเม็ดเงินต่างชาติออกไปแค่บางส่วน
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวตามตลาดโลกและภูมิภาคเอเชีย ที่มีการประเมินมูลค่าของพี/อี ที่เหมาะสมของตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ปัจจัยพื้นฐานของต่างชาติและเอเชียปรับตัวลดลง ซึ่งประเทศไทยก็ถูกแรงกระทบนี้ด้วย นักลงทุนจึงเทขายหุ้นออกมา เพื่อคำนวณพี/อีที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังเชื่อมั่นว่าน่าสนใจ พี/อีไม่ควรจะปรับลดมากนัก เพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทยสูงถึง 6 แสนล้านบาท และ บริษัทจดทะเบียนนยังไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ที่เกิดชึ้น ดังนั้น ก็เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนที่จะลงทุน โดยเฉพาะการขยายกองทุนแมชชิ่งฟันด์ของตลาดหลักทรัพย์ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และยังมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนครั้งนี้
"การที่มีมติขยายแมชชิ่งฟันด์ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ยืนยันไม่ใช่เป็นการพยุงหุ้น เพราะตลาดไม่สามารถเข้าไปพยุงได้ เพราะตลาดปรับตัวลงไปเยอะ แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ซึ่งลงทุน ณ จุดนี้ อย่างน้อยก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี และยังมั่นใจว่าหุ้นไทยจะเหมือนในปี 97 (ปี 40) ที่บจ.ต่างประสบปัญหา แต่วันนี้ผลประกอบการของ บจ.ยังดีกว่าเยอะและสภาพคล่องก็ยังสูง ไม่ได้มีหนี้เกินตัวอย่างปี 97" นายไพบูลย์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนเองอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับตัวลดลง โบรกเกอร์ไทย D/E ก็ไม่เกิน 2 เท่าขณะที่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ 30 เท่า จึงชี้ให้เห็นว่าพื้นฐานของไทยยังดี เพียงแต่มีวิกฤติตรงนี้มากดดันเท่านั้น
*โบรกฯนอกระบุ ตลาดไม่ควรหยุดเทรด จะยิ่งไม่มั่นใจ
มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ Head of Equity บล.ซิตี้ คอร์ป(ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยจากวิกฤติการเงินสหรัฐ ไม่สามารถประเมินจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นได้ แต่ยังเชื่อมั่นว่าจะไม่ลดลงต่ำเหลือ ระดับ 250 จุด เหมือนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่เคยเกิดขึ้นในไทย
ส่วนแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าจะไม่รุนแรงจนส่งผลกระทบตลาดหุ้นโดยรวม และปิดการซื้อขายชั่วคราวเหมือนตลาดหุ้นประเทศอืน เนื่องจาก ต่างชาติได้ทยอยเทขายหุ้นไทยมาตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นจึงไม่น่าจะปรับตัวลงแรง โดยแรงเทขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติจนถึงปัจจุบันมีประมาณ 4 พันล้านเหรียญ และแรงเทขายหุ้นต่างชาติในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดมีจำนวน 1.8 หมื่นล้านเหรียญ ถือว่าเป็นระดับใกล้เคียงระดับหุ้นอื่น
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ออกมาวันนี้ โดยเฉพาะเรื่องการลดหย่อนภาษีเงินปันผล และ Capital Gain Tax เป็นมาตรการที่ดีและจูงใจกับนักลงทุนต่างขาติกลับมาลงทุนในประเทศไทย
ส่วนการส่งเสริมการลงทุน โดยขยายวงเงินการลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF )และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 30%ของรายได้บุคคลธรรมดา ก็เป็นประโยชน์ และแนะนำให้เข้าไปลงทุนกองทุน LTF ในช่วงนี้ เพราะในระดับดัชนีนี้ อย่างน้อยถือว่าได้ซื้อหุ้นราคาถูกกว่าปัจจัยพื้นฐานถึง 30%
มล.ทองมกุฏ กล่าวว่า ในฐานะโบรกเกอร์ต่างประเทศ ไม่แนะนำให้ตลาดหลักทรัพย์ใช้วิธีการหยุดการซื้อขายชั่วคราว เหมือนอย่างรัสเซีย อินโดนีเซีย โรมาเนีย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติจะยิ่งตื่นตระหนกและยิ่งขาดความเชื่อมั่น เมื่อเปิดตลาดจะมีแรงเทขายออกมาอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะหยุดการซื้อขายอีกหรือไม่ และทำให้ไม่สามารถนำเงินออกจากประเทศได้
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--