บมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชร(DRT) ยอมรับรายได้ปีนี้พลาดเป้า 2.8 พันล้านบาทแน่ หลังไตรมาส 3/51 รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความเชื่อมั่นหดหาย ทำให้ยอดขายลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 2/51 ตามที่มีโบรกเกอร์ประเมิน แม้จะมองว่าไตรมาส 4/51 น่าจะฟื้นตัวตามฤดูกาลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่ยังเดินหน้าขยายตลาดทั้งการขายให้กับโครงการในประเทศเพื่อขึ้นและขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอินเดีย และเกาหลี
นายประกิต ประทีปะเสน ประธานกรรมการ DRT คาดว่า ยอดขายในไตรมาส 3/51 จะปรับลดลงจากไตรมาส 2/51 ประมาณ 10-15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อสินค้าออกไป รวมทั้ง โดยปกติไตรมาส 3 ของทุกปีก็เป็นช่วงโลว์ซีซั่น เพราะเป็นฤดูฝน แต่ปีนี้ฝนก็ตกหนักมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้ ปีนี้จึงถือว่าเลวร้ายมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/51 คาดว่ายอดขายอาจจะปรับตัวดีขึ้นได้ เพราะเป็นช่วง season ของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะสนับสนุนการฟื้นตัว จึงเชื่อว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/51 แต่ถึงแม้ว่ารายได้ในไตรมาส 4/51 จะกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็คงไม่สามารถทำให้ยอดขายทั้งปีเป็นไปตามที่คาดไว้เดิมที่ 2.8 พันล้านบาท
นายประกิต คาดว่า ยอดขายของบริษัทในปีนี้คงจะใกล้เคียงหรือลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 2.3 พันล้านบาทเล็กน้อย เช่นเดียวกับกำไรสุทธิ แม้ว่าในปีนี้จะยังคงมีกำไรสุทธิ แต่ก็อาจจะต่ำกว่าปีก่อน
"เราดูอยู่ตลอดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นและย่อมส่งผลกระทบต่อเราอยู่แล้ว ใครจะลงทุน และที่แย่กว่านั้นตั้งแต่ต้นปีเราก็เจออสังหาฯ ชะลอตัว มาเจอปัญหาการเมือง ภัยธรรมชาติแค่เราพยายามประคับประคองตัวภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ไม่ให้เจ็บตัวหรือไม่ให้ขาดทุนก็เก่งแล้วแต่การลงทุนเราไม่หยุดและการที่เรามีหนี้น้อยก็จะทำให้เราเจ็บตัวน้อยกว่าคนอื่น"นายประกิต กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
จากปัญหาที่เกิดขึ้นบริษัทได้ปรับแผนทั้งการหันไปช่องทางที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ย ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเป็นช่องทางที่บริษัทมีตัวแทนขายอยู่แล้วก็ตาม ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็กระทบเพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น แต่บริษัทไม่หยุดที่จะขยายช่องทางใหม่มากขึ้นอย่างที่ผ่านมาก็ได้ขยายธุรกิจจับตลาดผนังสำเร็จรูป ซึ่งเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างแบบใหม่
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังบริษัทจะเข้าไปเสนอขายโดยตรงกับงานโครงการต่างๆ มากขึ้น รวมถึงรุกขยายตลาดไปยังต่างประเทศใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย เกาหลี เพื่อเพิ่มรายได้
ขณะเดียวกันบริษัทฯ คาดว่าหากสายการผลิตที่ 9 เพื่อผลิตไม้ฝาโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในไตรมาส 2/53 จะทำให้ในอนาคตรายได้จะเติบโต และสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้
นายประกิต กล่าวต่อว่า ราคาหุ้นบริษัทตกมามากเกินไปซึ่งไม่สะท้อนพื้นฐาน ยอมรับว่าบริษัทมีความสนใจในการซื้อหุ้นคืนหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ดำเนินการและทำแน่นอน ซึ่งจะมีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทภายในเดือนนี้เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนยังอยู่ในระดับสูง