ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมือง หลังจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างหนัก และเนื่องจากความกังวลที่ว่ามาตรการช่วยเหลือธนาคารมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในยุโรปยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปให้ขยายตัวขึ้นได้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 4079.6 จุด ร่วงลง 314.6 จุด
นักลงทุนวิตกกังวลแม้ที่ประชุมสุดยอดกลุ่มผู้นำยุโรปมีมติให้ใช้มาตรการรับมือกับปัญหาในระบบการเงินและจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องธนาคารในยุโรป และแม้ว่ารัฐบาลอังกฤษออกมาตรการช่วยเหลือธนาคารในอังกฤษที่ขาดสภาพคล่องด้านการเงิน
ธนาคาร 3 แห่งที่รัฐบาลอังกฤษจะให้ความช่วยเหลือคือ รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ กรุ๊ป (RBS) ธนาคาร HBOS และธนาคารลอยด์ส ทีเอสบี ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขก็คือธนาคารกลุ่มนี้จำเป็นต้องจำกัดผลตอบแทนที่ให้แก่ผู้บริหาร และยอมรับผู้บริหารคนใหม่ที่ทางรัฐบาลแต่งตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร ซึ่งตามแผนการของรัฐบาลอังกฤษอังกฤษนั้น ธนาคาร RBS จะเพิ่มทุนประมาณ 20,000 ล้านปอนด์ โดยรัฐบาลเข้าไปถือหุ้นบุริมสิทธิ์เป็นเงิน 5,000 ล้านปอนด์ และจะออกหุ้นใหม่ 15,000 ล้านปอนด์โดยมีรัฐบาลค้ำประกันการขายหุ้น
หุ้นริโอ ตินโตดิ่งลง 16.6% หุ้นยูเรเชียน เนเชอรัล รีซอร์สเซส ดิ่งลง 25.2% หุ้นคาซัคมิสร่วงลง 22.3% หุ้นแองโกล อเมริกันดิ่งลง 20.1% และหุ้นเอ็กซ์สตราตาดิ่งลง 19.6%
นอกจากนี้ การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานทรุดตัวลงด้วย โดยหุ้นบีพีดิ่งลง 6.8% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 7.5% หุ้นบีจี กรุ๊ป ร่วงลง 9.2% และหุ้นเคร์น เอ็นเนอร์จี ดิ่งลง 12.2%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นธนาคาร HSBC ดิ่งลง 6.5% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 11.9% หุ้นธนาคารลอยด์ส ทีเอสบี ขยับลง 0.7% หลังจากไต่ขึ้นในช่วงแรก
เมื่อวานนี้ ริโอ ตินโต เปิดเผยว่า ผลผลิตสินแร่เหล็กไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัว 17% แตะระดับ 42.4 ล้านเมตริคตัน จากระดับปีที่แล้วที่ 36.4 ล้านตัน ขณะที่ไตรมาสที่ 2 บริษัทผลิตสินแร่เหล็กได้ 41.9 ล้านตัน