หุ้น BBL ร่วงต่อ 8.33% อยู่ที่ 71.50 บาท ลดลง 6.50 บาท เมื่อเวลา 10.41 น.โดยเปิดตลาดที่ 76.00 บาท ขึ้นสูงสุดที่ 76.00 บาท และลงต่ำสุดที่ 70.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 374.51 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปรับลงต่อจากวานนี้เป็นผลจากข่าวหนี้เสียของผู้ประกอบการเหล็กในจีนมูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมองว่าเล็กน้อยแค่ 500 ล้านบาท ไม่ได้เยอะมาก แต่วันนี้ที่กังวลกันมากกว่าเนื่องจากแบงก์กรุงเทพมีการปล่อยสินเชื่อให้ต่างประเทศ และลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างมาก เป็นสัดส่วนมากที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ความกังวลจึงเกิดขึ้นว่ามีที่นี้แล้วจะมีที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะที่จีนจบไปแล้วนิดเดียว ประกอบกับตลาดหุ้นปรับลงมาด้วย "มองว่ายังไม่ได้กระทบต่อผลประกอบการของธนาคารกรณีจีนน้อยมากจนไม่มีผลกระทบอะไร แต่สิ่งที่ต้องดูต่อไปเรื่องอื่นจะมีตามมาหรือเปล่า" นายกวี กล่าว
ยังแนะนำซื้อ ถึงแม้จะมีการลงทุนต่างประเทศสูงแต่เท่าที่ประเมินต่อให้พอร์ตทั้งหมดมีปัญหา หรือ discount ไปเยอะ ก็ยังไม่มีผลต่อราคาพื้นฐานมากนัก ไม่กี่เปอร์เซนต์ ไม่ถึงขนาดปรับประมาณการแต่เป็น sentiment มากกว่า ให้ราคาพื้นฐาน 110 บาท
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า จากที่ได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่าย IR ของธนาคารกรุงเทพ(BBL)ได้ทราบกระแสข่าวที่แพร่สะพัดเกี่ยวกับหนี้เสียของธนาคารกรุงเทพจำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ที่ธนาคารได้ปล่อยให้กับบริษัทผลิตเหล็กรายหนึ่งของจีน จึงคาดว่าจะน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น BBL ปรับตัวลง
แต่หนี้เสียจำนวน 500 ล้านบาทนี้นับว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ทาง BBL ได้ตั้งสำรองไว้แล้ว เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือหนี้เสีย 500 ล้านบาททำให้มูลค่าตลาดได้หายไปหลายพันล้านบาท
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้รับการชี้แจงจากผู้บริหาร BBL ว่าเป็นสินเชื่อของบริษัท Ferro China (สัญชาติไต้หวัน) แต่เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดสิงคโปร์ฯ ดำเนินธุรกิจผลิตเหล็กแผ่นเคลือบ (Galvanized Steel Coils) โดยมีบริษัทย่อย 5 แห่งอยู่ในจีน (มณฑลเจียงซู) ทั้งนี้ Ferro China ได้หยุดดำเนินการผลิตตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ต.ค.51 เนื่องจากประสบปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่งมี BBL รวมอยู่ด้วย แต่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารฯ เพียง 200-300 ล้านบาทเท่านั้น (ต่ำกว่า 100 ล้านหยวน) โดยมีหลักประกันสินเชื่อค่อนข้างเพียงพอ