นายดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ ประธานกรรมการ บมจ.ไทยคม(THCOM) เชื่อว่า ทางรัฐบาลกัมพูชาคงจะติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณเขาพระวิหาร ไม่ให้ลุกลามบานปลาย และมีความเสียหายเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินของธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้เกิดความเสียหายในสายตาต่างชาติและขาดความเชื่อมั่น ซึ่งจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวและการลงทุนในกัมพูชาด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากสถานทูตไทย หลังจากเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อวานนี้ แต่บริษัทก็มีการเตรียมความพร้อมในการอพยพพนักงานคนไทยไว้แล้ว ปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานคนไทยที่สำนักงานกัมพูชาประมาณ 40 คน จากจำนวนพนักงาน 400 คน
"มั่นใจว่าความรุนแรงจะไม่ลุกลามมายังพื้นที่ใจกลางเมืองที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานไทยคม แต่บริษัทก็มีการประสานกับสถานฑูตไทยอย่างใกล้ชิด หากมีความรุนแรงเข้ามาพื้นที่ใจกลางเมือง หรือ มีการปลุกกระแสต่อต้านที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทๆ ก็จะเตรียมอพยพพนักงาน เนื่องจากบริษัทเคยได้รับความเสียหายจากกรณีคราวของ กบ สุวนันท์ คงยิ่ง เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ครั้งนั้นทางรัฐบาลกัมพูชาก็ชดเชยให้ทั้งหมด" นายดำรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันหากประเมิน กรณีเลวร้ายสุด ซึ่งเหมือนกับ 5-6 ปีก่อน ความเสียหายมีจำกัดเพียงสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 8 ล้านเหรียญ ซึ่งจะได้รับการชดเชยจากรัฐบาลกัมพูชา ส่วนสถานีฐาน ปัจจุบันที่มีอยู่ 700 แห่งทั่วประเทศคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ จึงคาดว่าในส่วนของรายได้จากการดำเนินงานคาดว่าจะรับผลกระทบไม่มากนัก
ปัจจุบัน THCOM มีบริษัทลูกคือ CamShin (ถือหุ้นอยู่ประมาณ 51%) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพทืเคลื่อนที่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันทาง Camshin มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วน 28% (รองจากคู่แข่ง CamGSM ที่มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 57%) โดยสัดส่วนรายได้จากบริษัทลูก CamShin ใน 1H51 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของรายรายได้รวมของ THCOM
บล.กสิกรไทย ระบุว่า THCOM เข้าไปลงทุนร่วมกับรัฐบาลประเทศกัมพูชา เช่น กลุ่มโทรคมนาคม เช่น THCOM ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านเทเลคอมผ่านบริษัท คัมโบเดีย เทเลคอม เพื่อให้บริการด้านอุปกรณ์การสื่อสาร และดาวเทียม น่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเป็นการร่วมทุนกับรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง ไม่เช่นนั้นกัมพูชาเองจะเสียประโยชน์มากกว่าได้ประโยชน์
ด้านบล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ในระยะสั้นราคาหุ้น ยังมีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบในเชิงจิตวิทยาการลงทุนจากประเด็นดังกล่าว ประกอบกับความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว