สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินดัชนี SET Index สิ้นปี 51 อยู่ที่เฉลี่ย 611 จุด ปรับลดลงจากการสำรวจเมื่อเดือนส.ค.ที่คาดไว้ 828 จุด อย่างไรก็ตาม มีสำนักวิจัยเกือบครึ่งยังปรับลดไม่เสร็จ และประเมินจุดต่ำสุด SET Index ในปีนี้ไว้ที่เฉลี่ย 413 จุด
ขณะที่ คาดว่าอัตราเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปี 51 เฉลี่ยอยู่ที่ 18.8% ลดลงจากคาดการณ์ที่ผ่านมาที่ระดับ21.3% ส่วนปี 52 จะเติบโตลดลงเหลือ 2.3%
ทั้งนี้ เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและสถาบันการเงินที่มีผลกระทบบานปลายขึ้นอย่างมากใน 2-3 เดือนนี้ รวมถึงความตึงเครียดทางการเมืองและปัจจัยลบอื่นๆ โดยสมาคมฯ คาดว่าเศรษฐกิจในปี 52 จะเติบโตเหลือ 4.0% ส่วนปี 51 ยังคงคาดการณ์เดิมที่ 5%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมฯ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงไปที่จุดต่ำสุดที่ 413 จุด ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ในระดับ 451 จุด เพราะเชื่อว่าจะยังทยอยเห็นปัญหาสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐและยุโรป
และปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นแม้ในระยะสั้นบรรยากาศจะดีขึ้นหากเกิดการยุบสภาและมีการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่น่าจะช่วยส่งผลให้บรรยากาศตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นในระยะยาว
นายสมบัติ กล่าวว่า หากปัจจัยต่างประเทศและในประเทศยังบานปลายต่อไป ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/51 ที่จะลดลง อย่างธุรกิจท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มเห็นการอัดโปรโมชั่นกันมากขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยและน้ำหนักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย 80% มาจากปัจจัยภายนอก ส่วน 20% มาจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าหากมีการยุบสภาและเลือกตั้งจะดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะจะได้หมดปัญหาภายในและจะเหลือเพียงปัจจัยภายนอกอย่างเดียวที่จะต้องเผชิญเท่านั้น แต่หากเป็นการลาออกของนายกรัฐมนตรี ก็คงยังต้องติดตามว่าใครจะมาเป็นนายกฯแทน ต้องยอมรับว่าการเมืองตอนนี้มีจุดตีบตันค่อนข้างมาก
พร้อมกันนั้น ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลเร่งสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน รวมถึงดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดภาษีให้กับบริษัทจดทะเบียน หรือการมีมาตรการสนับนุนเพิ่มเติมให้บริษัทซื้อหุ้นคืน
ส่วนการฟอร์ซเซลนั้น นายสมบัติกล่าวว่า เชื่อว่าจะมีบริษัทหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบจากการปล่อยฟอร์ซเซลจะมากหรือน้อยคงอยู่ที่กระบวนการของโบรกเกอร์แต่ละแห่งและวงเงินในการปล่อยกู้มาร์จิ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการประเมินพบว่าการฟอร์ซเซลจะเกิดกับหุ้นเก็งกำไรและเป็นรายกลุ่มเฉพาะเท่านั้น จึงไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นมากเท่ากับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่