นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)ปรับลดเป้าการขยายตัวของสินเชื่อในปี 51 ลงเหลือ 8-9% หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาทจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 12% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายในในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนลดลงและมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
สินเชื่อที่เติบโตได้ดีในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อย ส่วนสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ คงขึ้นอยู่กับธนาคารจะเข้าประมูลหุ้นกู้รัฐวิสาหกิจหรือไม่ หากเข้าประมูลคาดจะได้สินเชื่อจากลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่หากไม่เข้าประมูลจะเหลือสินเชื่อประมาณ 5 พันล้านบาท
"ที่ผ่านมาการที่ลูกค้ารายใหญ่ไม่โต เพราะว่ามีการแข่งขันที่รุนแรง แต่เราก็จะพยายามในการ balance การปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าทุกประเภท ซึ่งก็จะสอดคล้องกับแผนในการเพิ่ม BIS ให้มากขึ้นในปีหน้า เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ" นายชัยวัฒน์ กล่าว
ปัจจุบัน ธนาคารมีกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS)ที่ 12.7% โดยมีกองทุนขั้นที่ 1(Tier I) ที่ 11.52% ทีเหลือกองทุนขั้นที่ 2(Tier II)
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ธนาคารจะว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อวางแผนการขยาย BIS คาดว่าจะได้บริษัทที่ปรึกษาภายในเดือนพ.ย.จากที่ขณะนี้มีเสนอตัวเข้ามาประมาณ 7 ราย สำหรับการปรับลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้( NPL) ขึ้นอยู่กับการแก้ไขลูกหนี้รายใหญ่ 2 ราย หากเจรจาได้สำเร็จ ก็จะทำให้ NPL โดยรวมของธนาคารลดลงมาเหลือ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.8% ณ สิ้นเดือน ก.ย. 51
*พร้อมตั้งสำรองเพิ่มใน Q4 หากบล.นครหลวงไทยเสียหากหนัก
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ธนาคารพร้อมตั้งสำรองเพิ่มในไตรมาส 4/51 หากบล.นครหลวงไทย (SCIBS) ได้รับผลกระทบจากการปล่อยมาร์จิ้นให้ลูกค้า และถึงแม้จะสั่งฟอร์ซเซลแต่ก็ยังมีผลขาดทุนอยู่ ซึ่งได้เรียกผู้บริหารบล.นครหลวงไทยมาพูดคุยแล้ว แต่เท่าที่ตรวจสอบเห็นว่าเป็นการปล่อยมาร์จิ้นตามปกติ
"ต้องยอมรับว่าหากบริษัทหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบ ก็ย่อมส่งผลถึงตัวธนาคาร เพราะธนาคารเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือว่าโชคไม่ดี ที่ราคาหุ้นลงอย่างไม่มีเหตุผล และลงแรง ซึ่งคงไม่มีใครเข้ามารับซื้อหรอก และเราก็ยังหวังว่าทุกอย่างจะแก้ไขได้ หากเราได้ข่าวดีจากแก้ไขปัญหา NPLจากลูกค้ารายใหญ่ก็จะมาช่วยปัญหาเรื่องนี้ได้บ้าง" นายชัยวัฒน์กล่าว
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย มองว่า ช่วงนี้ไม่น่าจะเป็นขาขึ้น และเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ โดยเฉพาะปัจจัยภายนอก เชื่อว่าจะส่งผลกระทบและปัญหาภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ก็ยังเป็นห่วงสภาพคล่องโดยรวมในประเทศ เพราะต่างชาติยังต้องการดึงเม็ดเงินออกจากระบบการเงินไทย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่ ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะทำให้เห็นภาพชัดเจน หรือมาตรการที่จะเข้ามช่วยเหลือดำเนินการและวางแผนอย่างไรหากเกิดปัญหาลุกลาม
ขณะที่ธนาคารจะต้องรักษาสภาพคล่องโดยการรักษาฐานเงินฝาก โดยปัจจุบัน SCIB มีฐานเงินฝากจำนวนกว่า 3.5 แสนล้านบาท เป็นเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันรวมกันประมาณ 30% ขณะเดียวกัน ธนาคารวางแผนเปิดสาขาเพิ่มในปีหน้า 20-30 แห่ง จากที่มีจำนวนสาขาทั่วประทศ 408 แห่ง โดยในไตรมาส 4/51 จะเปิดสาขาใหม่ 3 แห่ง ที่สมุทรปราการ, ขอนแก่น และ สุราษฎร์ธานี