นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน คาดว่า ไตรมาสที่ 4/51 ภาพรวมธุรกิจกองทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสที่ 3/51 นอกจากจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นจากมาตรการ Matching Fund ที่รัฐบาลประกาศจะสนับสนุนให้เข้ามาลงทุน และจากมาตรการขยายเพดานสิทธิประโยชน์ทางภาษีของการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)จาก 500,000 บาท เป็น 700,000 บาท และเม็ดเงินของผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่นิยมเข้ามาลงทุนใน RMF และ LTF ในช่วงสิ้นปี
สำหรับช่วงปลายปีนี้ บลจ. ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในประเทศ ทดแทนกองทุนต่างประเทศ (FIF) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากประจำ จะเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่นิยมความเสี่ยงจากตลาดหุ้น
ส่วนกองทุนรวม FIF คาดว่าจะมีการเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศน้อยลงสำหรับไตรมาสที่ 4/51 ต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์ในต่างประเทศจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
"บลจ. ต่างๆ มีแนวโน้มที่จะเสนอขายหรือขยายกองทุนรวมในประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีโอกาสในการเลือกลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีพื้นฐานดี และราคาที่ปรับตัวลดลงมามากแล้ว" นางวรวรรณ กล่าว
ภาพรวมธุรกิจกองทุนรวม 9 เดือนแรก เปรียบเทียบกับปี 50 คาดธุรกิจกองทุนรวมปีนี้คงจะไม่เติบโตจากปีที่ผ่านมามากนัก โดยมีเหตุจากวิกฤติการเงินสหรัฐส่งผลกระทบการลงทุนทั่วโลก หารือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพิ่มการให้ข้อมูลกองทุนรวมที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศแก่นักลงทุน เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ครบถ้วน เพียงพอ และทันต่อเหตุการณ์
เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในฐานะผู้กำกับดูแลธุรกิจ และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้หารือร่วมกันในวันที่ 17 ต.ค.ถึงแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลการลงทุนของกองทุนรวมเพิ่มเติม โดยตกลงว่าจะให้บริษัทจัดการเปิดเผยข้อมูลชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนสูงสุดอย่างน้อย 5 อันดับแรก พร้อมทั้งน้ำหนักการลงทุนเป็นร้อยละ โดยจะอัพเดทข้อมูลการลงทุน ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนปัจจุบันภายในสิ้นเดือนถัดไปไว้บนเว็บไซต์ของบริษัทจัดการลงทุน เริ่มตั้งแต่วันทำการสุดท้ายของเดือนพ.ย.51 เป็นต้นไป
ณ วันที่ 26 กันยายน 2551 กองทุนรวม มียอดทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 1,578,539 ล้านบาท ลดลงจาก 1,610,893 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 คิดเป็น 2.01%