นายธีรชัย ลีนะบรรจง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทย-เยอรมัน โปรดักส์(TGPRO)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้อุตสาหกรรมการผลิตและภาคตกแต่งในช่วงไตรมาส 1/52 ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ซึ่งคาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้จะชดเชยยอดขายส่วนอื่นที่ชะลอตัวได้ ซึ่งจะทำให้ยอดขายรวมของบริษัทเติบโตขึ้นได้เป็น 8-10% จากปีนี้
"ถ้าเปิดตลาดได้ไตรมาส 1 ยอดคงรับรู้รายได้ไตรมาส 2 เพราะปกติการสั่งซื้อสินค้าต้องใช้เวลาผลิต 30-90 วัน คาดว่ายอดขายในผลิตภัณฑ์ใหม่นี้สัดส่วนน่าจะ 20% ของรายได้รวม กำลังดูตัวไหนที่ Develop เสร็จได้การรับรองได้การทดสอบที่เป็นประโยชน์กับผู่ซื้อผู้ใช้มากที่สุดก็จะเปิดตัวก่อน เราต้องสร้าง value added ให้ลูกค้าด้วย"นายธีรชัย กล่าว
สำหรับการพัฒนาสินค้าใหม่ดังกล่าวอยู่ภายใต้งบประมาณปกติที่บริษัทตั้งไว้ประมาณปีละ 20 ล้านบาท ไม่เกี่ยวกับเงินเพิ่มทุนที่เตรียมไว้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการสั่งซื้อสินค้าที่ใช้เป็นวัตถุดิบจากฝั่งยุโรป เนื่องจากขั้นตอนการสั่งซื้อไปจนถึงนำมาผลิตเป็นสินค้าของบริษัทกินเวลาค่อนข้างนานกว่าจะเก็บเงินจากลูกค้าได้ เช่น สั่งวัตถุดิบเดือน ต.ค.กว่าจะผลิตเสร็จเดิอน พ.ย.-ธ.ค.ส่งมาถึงบริษัทเดือนม.ค.จากนั้นเมื่อผลิตขายให้ลูกค้าก็ยังต้องมีการเครดิตให้อีก 30-60 วัน บางราย 90 วัน
"เราก็มีขยายการขายมาตลอดแต่เราก็ติดตรง Working Cap ค่อนข้างจะหนักเพราะรอบระยะเวลาที่สั่งไปจนกระบวนการที่เก็บเงินได้ก็ประมาณ 5-6 เดือน ส่วนใหญ่ที่เพิ่มทุนก็เป็นเรื่อง Working Cap"นายธีรชัย กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เพิ่มทุนจำนวน 341.33 ล้านหุ้นจัดสรรขายผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 1:1 ราคาหุ้นละ 1 บาท แต่ยังขายไม่หมดและเหลือหุ้นอีกจำนวน 172 ล้านหุ้น
นายธีรชัย กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีข้อสรุปว่าหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือจะดำเนินการอย่างไร จะขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมอีกรอบ หรือเสนอขายให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) รวมทั้งการกำหนดราคาขายจะเป็น 1 บาท/หุ้นเท่าเดิมหรือไม่ เพราะขณะนี้ราคาหุ้นในกระดานก็ปรับลดลงมาต่ำกว่า 1 บาทแล้ว
อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาหุ้นของ TGPRO ปรับลงมาตามภาวะตลาด เช่นเดียวกับทุกราย ขนาดรายที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งมากก็ยังลงมาครึ่งหนึ่ง
"วิธีการเพิ่มทุนหรือ funding ก็ต้องให้ฝ่ายการเงินวางแผน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการ"นายธีรชัย กล่าว
*มุ่งทำยอดขายปีนี้ตามเป้า 8% ยอมรับลูกค้าบางส่วนชะลอซื้อ,ปี 52 ยังตั้งเป้าโต 8-10%
นายธีรชัย กล่าวว่า บริษัทพยายามรักษายอดขายในปีนี้ให้ได้ตามเป้าหมายเติบโต 8% จากปีก่อนที่ทำรายได้ 1,900 ล้านบาท โดยเฉพาะยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังที่เริ่มเห็นการชะลอสั่งซื้อบ้างแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศบางประเทศ แต่อย่างน้อยในครึ่งปีหลังก็จะพยายามทำให้เติบโตใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่โต 8%
"ตอนนี้การขายในประเทศเป็นไปตามสภาวะการณ์อาจจะชะลอบ้างแต่ลูกค้าที่เป็นผู้ใช้ก็ยังต้องสั่งซื้ออยู่ โครงการที่จำเป็นต้องติดตั้งต้องส่งมอบก็ต้องซื้อของเหมือนเดิม ส่วนต่างประเทศก็มีชะลอเฉพาะบางประเทศเพราะเราส่งออก 10 กว่าประเทศ บางประเทศที่ไม่กระทบก็มีอย่างตะวันออกกลาง เอเชียก็มีการสั่งซื้ออยู่"
ทั้งนี้ ลูกค้าบางส่วนที่ปกติสั่งซื้อไว้สต๊อกก็สั่งน้อยลง แต่บางรายซื้อไปใช้ในงานก่อสร้างอาคารที่จะต้องดำเนินการตามกำหนดส่งมอบก็ชะลอไม่ได้ แต่มองว่าผลกระทบวันนี้อาจจะไปเกิดอีก 2-3 ปีข้างหน้า เช่น งานที่เรารับตอนนี้คือโครงการที่ขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนและใกล้จะเสร็จแล้วถึงส่วนงานที่ต้องตกแต่ง
"แต่ลูกค้าที่ชะลอสั่งซื้อก็ไม่ได้ชะลอเป็นปี บางคนขอดูทีท่าอีก 2-3 เดือน หรือที่เคยซื้อสต็อก 20-50 ตัน ก็สต็อกน้อยลง ดูรูปการณ์ก่อน แต่คนที่ต้องใช้จริงๆ คงรอไม่ได้"นายธีรชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในปี 52 นั้นบริษัทมองว่าครึ่งปีแรกยังต้องดูผลกระทบจากประเทศที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระทบกับบรรยากาศการลงทุนและการบริโภค แต่ครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก เพราะเชื่อว่ากว่าจะผ่านพ้นไตรมาสสุดท้ายนี้ไปหลายภาคส่วนคงปรับตัวและประเทศต่างๆ คงปรับตัวพอสมควรแล้ว จึงน่าจะทำให้ยอดขายในปี 52 เติบโตได้ตามเป้าหมาย 8% ได้ไม่ยาก
นอกจากนั้น การที่อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนกำลังได้รับความสนใจ ก็ยังทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะการสั่งซื้ออุปกรณ์ท่อแสตนเลสไปใช้ในโรงงานเอทานอล ซึ่งขณะนี้โรงงานเอทานอลผุดขึ้นมาก จึงส่งผลดีต่อบริษัทด้วย
"คงต้องได้เพราะฐานปีนี้ก็ไม่ได้เป็นฐานที่สูงอะไร เรา Conservative ไม่ได้บอกว่าจะต้องโต 20-40% เหมือนเมื่อก่อน แต่จะโต 8-10% น่าจะพอทำได้และก็มีตลาดใหม่ๆ ที่เตรียมจะขยายอยู่"นายธีรชัย กล่าว
*รักษาอัตรากำไรขั้นต้น 15-20%
นายธีรชัย กล่าวว่า บริษัทพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในภาพรวมปีนี้ไว้ที่ระดับ 15-20% ทั้งในสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าประเภทตกแต่ง โดยขณะนี้ราคาแสตนเลสที่เป็นวัตถุดิบสำคัญได้ปรับตัวลดลงแล้ว โดยราคาแสตนเลสมีหลายเกรดตั้งแต่ 100 กว่าบาท/ก.ก.จนถึง 150 บาท/ก.ก ซึ่งปกติบริษัทจะสต๊อกวัตถุดิบสำหรับแผนการผลิตในช่วง 2-3 เดือนล่วงหน้าให้สอดคล้องกับคำสั่งซื้อ
"ตอนนี้ปรับลงแล้ว ราคาถ้าลงหรือขึ้นแบบไม่รวดเร็วเกินไปก็ไม่มีผล แต่เวลาขึ้นเร็วลงเร็วไม่ดี เพราะขึ้นเร็วคนก็ตกใจทำไมแพง เวลาลงเร็วก็บอกว่าจะถูกกว่านี้อีกหรือไม่ กืทำให้ชะลอการตัดสินใจบ้าง"นายธีรชัย กล่าว
ส่วนราคาขายจะปรับตามสภาพการณ์วัตถุดิบแต่ละเดือนหรือระบบ(cost plus)คือต้นทุนวัตถุดิบที่ประกาศใช้ทั่วโลก บวกด้วยค่าผลิต ซึ่งจะมีการปรับตามราคาวัตถุดิบในตลาดโลก
บริษัทผลิตท่อใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ปิโตรเคมี เอทานอลและน้ำตาล ถึงแม้ตอนนี้อาจจะมีบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมอื่นเข้ามาช่วย ส่วนโครงการเมกะโปรเจ็กต์หากล่าช้าก็ไม่กระทบเพราะสินค้าที่เข้าไปใช้มีไม่มาก เช่น ราวกันตก หรือราวตกแต่งตามสถานีต่างๆ
อนึ่ง สินค้าประเภทอุตสาหกรรมมีสัดส่วน 80% ขณะที่สินค้าประเภทตกแต่งอยู่ที่ประมาณ 20%