โบรกเกอร์ รุมแนะ"ซื้อ"หุ้นธนาคารกสิกรไทย(KBANK)หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/51 เติบโตได้ดี รวมทั้งการขยายตัวของสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นไปถึงระดับ 4.26% แม้ปีหน้ามองว่าธนาคารอาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและในประเทศ แต่เชื่อว่า KBANK ก็ยังจะมีอัตราเติบโตที่ดีได้ เป็นผลจากการบริหารแบบอนุรักษ์ และการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากผลกระทบวิกฤติสสถาบันการเงินในสหรัฐที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้โบรกเกอร์ปรับลดราคาเหมาะสมลงไปบ้าง แต่ก็ยังจัดให้ KBANK เป็น Top Picks ในกลุ่มแบงก์ เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบมากเกินไป ทำให้ราคาต่ำกว่าที่ควร ทำให้มี upside gain อยู่มาก
ราคา KBANK ปิดช่วงเช้าที่ 58.00 บาท +1.50 บาท (+2.65%) โดยเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ราคาลงไปลึกที่ 50.00 บาท ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 10 เดือน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ เป้าหมายปี 52 (บาท/หุ้น) บล.ฟิลลิป ซื้อ 93.00(ปี 51) บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 91.00 บล.ฟินันซ่า ซื้อ 90.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 77.00 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 75.00 บล.บัวหลวง ซื้อ 71.00 บล.นครหลวงไทย ซื้อ 70.00
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการของ KBANK ในไตรมาส 3/51 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย และการเติบโตของสินเชื่อก็ยังถือว่าดี สินทรัพย์แข็งแกร่ง โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 93 บาทสำหรับปี 51 เนื่องจากปีนี้กำไรเติบโตตามสินเชื่อที่ยังโตได้ดี ขณะทีมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPL)ไม่สูง โดยแผนทุกอย่างเป็นไปตามที่ธนาคารได้คาดไว้
แต่มองในปีหน้าเศรษฐกิจไทยคงจะชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ยังเชื่อว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีอัตราการเติบโต ในแง่ของฐานเงินทุนยังแข็งแกร่ง รวมถึงเงินทุนสำรอง และยังมองว่า KBANK เป็น Top Picks แม้กำไรอาจจะอ่อนตัวลงไปบ้าง ซึ่งเราก็รอปรับประมาณการของปี 52 อีกครั้งหลังจากที่ผู้บริหารให้ภาพธุรกิจในปีหน้า
"ปีหน้าภาวะเศรษฐกิจน่าเป็นห่วง และธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปรับตัวไปตามเศรษฐกิจ แต่เห็นว่าธุรกิจนี้แข็งแรงอยู่และปลอดภัย ถ้าถามเรา เราชอบ KBANK เหมือนกัน ถึงจะปรับราคาลง แต่ก็ยังแนะนำ BUY" น.ส.ศศิกร กล่าว
ดังนั้น ในปีหน้าเท่าที่ดูภาพปีหน้ากำไรของ KBANK คงโตไม่มาก เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และจะมีการตั้งสำรองเพิ่ม และ สินเชื่อก็จะเติบโตน้อยกว่าปีนี้ เพราะฉะนั้นปีหน้าคงโตไม่มาก คงปรับราคาลง จาก Risk Premium Market มากกว่า อาจจะทำให้ปรับ Valuation ลง ทำให้ต้องปรับราคาลงมา
ทั้งนี้ ราคา KBANK ร่วงหนัก ไม่ได้มาจากราคาพื้นฐาน แต่มาจากทางนักลงทุนต่างประเทศขายออกไป ซึ่งหุ้นแบงก์มีสภาพคล่องมากก็ถูกขายออกก่อน แต่ไม่ใช่ลงเพราะพื้นฐานไม่ดี เพราะปีนี้แบงก์ก็ยังโตได้ดี
ด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมาย KBANK ในปี 52 ลงเพราะมองว่าภาพเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงขึ้น และการเติบโตของสินเชื่อก็จะเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาในตลาดก็จะดิสเคาน์ลงมามาก
"ถ้าดู KBANK ราคาปัจจุบัน เทียบกับ valuation book คิดว่าค่อนข้างต่ำ ปีหน้าคิดว่ายังวุ่นวาย เพียงแต่ราคาหุ้นลงมาค่อนข้างเร็ว ให้นักลงทุนทำใจขายตรงนี้คงยังไม่ได้ เพราะหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก็เป็นอะไรที่ต้องกัดฟัน ถือ"นายชัยพร กล่าว
ความน่าสนใจของ KBANK ที่มองว่าน่าลงทุน เห็นว่าปีหน้าสินเชื่อจะโตดี การบริหารความเสี่ยงของธนาคารเข้มงวด การปล่อยสินเชื่อค่อนข้างระมัดระวัง ส่วนมาร์จิ้น โดยปกติ 3 แบงก์ใหญ่จะมีมาร์จิ้นระดับใกล้เคียงกันมากกว่า 3.5%
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) มอง KBANK ประกาศผลประกอบการกำไรสุทธิ Q3/51 ออกมาเท่ากับ 3,836 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% yoy ตามสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 10.2% qoq จากรายได้ที่ไม่ได้อยู่ในรูปดอกเบี้ยที่ลดลง รวมถึงภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นที่อัตรา 33.6%
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเติบโตโดดเด่นเป็นที่ระดับ 4.26% ส่วนยอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ดีเป็น 14.4% YTD ขณะที่ NPLs ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยยอดสินเชื่อสิ้นสุด ณ ก.ย. 2551 อยู่ที่ 871,972 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงต่อเนื่องเป็น 4.05% เทียบกับ 4.18% ใน Q2/51 และ 6.34% ใน Q3/50 สะท้อนการบริหารความเสี่ยงที่ดี
"SCRI มีมุมมองที่เป็นบวกสำหรับ KBANK จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้โดดเด่น, ยอดสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด และ NPLs ratio ที่ลดลงต่อเนื่อง โดยมีมุมมองที่เป็นบวกสำหรับแนวโน้มใน Q4/51 ที่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย และ NPLs ratio จะลดลงต่ำกว่า 4.0% SCRI" บทวิเคราะห์ระบุ