ทริส เพิ่มเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ HMPRO เป็น A,จัดอันดับหุ้นกู้ใหม่ที่ A

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 22, 2008 08:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เป็นระดับ “A" จาก “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในตลาดสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ผลการดำเนินงานและฐานะการเงินที่ดีขึ้นจากการพัฒนาปรับปรุงระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการดำรงกระแสเงินสดที่ดีแม้จะอยู่ในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวก็ตาม ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคำนึงถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและตราสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงจากภาวะทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่อาจกระทบต่ออันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายวัสดุและสินค้าเกี่ยวกับบ้านเอาไว้ได้ โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสภาพคล่องและอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่มีการขยายสาขา แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยจะส่งผลให้ยอดขายสำหรับลูกค้าบ้านใหม่ลดลง แต่ก็คาดว่าอุปสงค์เพื่อการซ่อมแซมและตกแต่งบ้านเก่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวได้บางส่วน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า HMPRO เป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจรภายใต้ชื่อ “โฮมโปร" ณ เดือนกันยายน 2551 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 33 แห่ง โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 17 แห่ง และในต่างจังหวัดอีก 16 แห่ง บริษัทมีพื้นที่ขายรวม 221,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) เพิ่มขึ้น 8% จากเดือนธันวาคม 2550 บริษัทจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านถึง 30,000-60,000 รายการ ประกอบด้วยวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน ห้องน้ำและสุขภัณฑ์ เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องเสียง อุปกรณ์ไฟฟ้าและโคมไฟ และสินค้าตกแต่งบ้าน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา HMPRO ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาโดยมีการเปิดสาขาใหม่โดยเฉลี่ย 2-3 แห่งต่อปี การที่ผู้บริโภคหันมานิยมศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่เพิ่มขึ้นเป็นผลดีต่อการขยายสาขาของบริษัทเพราะทำให้ร้านค้าของบริษัทได้รับความนิยมมากกว่าร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าเกี่ยวกับบ้านแบบดั้งเดิม กลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดซึ่งช่วยให้ต้นทุนของบริษัทลดลง

สัดส่วนของสินค้าที่เป็นตราเฉพาะของบริษัทและสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 3.1% ของยอดขายในปี 2548 เป็น 8.3% ในปี 2550 และเป็น 10.6% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 ส่งผลให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นได้แม้ภาวะตลาดโดยรวมจะชะลอตัวลง โดยเพิ่มจาก 21.6% ในปี 2548 เป็น 23% ในปี 2550 และเป็น 23.5% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 บริษัทมียอดขายรวม 8,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายจากสาขาเดิม 4.1% หลังจากที่ต้องเผชิญกับยอดขายจากสาขาเดิมที่ลดลง 4.6% ในปี 2550 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของยอดขายจากสาขาเดิมเป็นผลจากการปรับปรุงการปฏิบัติงานเพื่อพยายามลดอัตราการสูญเสียยอดขายให้ต่ำที่สุด และการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2549-2551 เพื่อลดอัตราการแย่งส่วนแบ่งตลาดระหว่างสาขาเดิมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยในปี 2552 บริษัทมีแผนจะเปิดอีก 4 สาขาในต่างจังหวัดทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับเปลี่ยนรายการสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและเหมาะสมกับความสามารถในการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลงด้วย

ฐานะทางการเงินของ HMPRO ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงจาก 51.48% ในปี 2549 เหลือ 47.49% ในปี 2550 และ 45.97% ในเดือนมิถุนายน 2551 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่ลดลง บริษัทยังคงมีสภาพคล่องในระดับสูงจากการบริหารเงินสดที่มีประสิทธิภาพ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,183 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 1,459 ล้านบาทในปี 2550 และ 783 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการขยายสาขาและอัตราค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 29.04% ในปี 2549 และ 37.32% ในปี 2550 และ 21.01% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ