บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์(TPC)ชะงักลงทุนโครงการใหญ่ในปีหน้า หลังวิกฤติการเงินสหรัฐทำโลกป่วน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่อเนื่อง คาดกดสเปรดเฉลี่ยปี 52 ลดลงกว่า 100 เหรียญ/ตันจากปีนี้ เบื้องต้นสั่งชะลอโครงการเวียดนามออกไปเป็นไตรมาส 3/52 จากเดิม ไตรมาส 2/52 พร้อมคุมค่าใช้จ่าย หลังจากเห็นสัญญาณในปีนี้รายได้อาจพลาดเป้าที่คาดจะโตได้ 10% แต่ยังพยายามรักษากำไรให้ใกล้เคียงกับปีก่อน
*ปี 52 ชะลอลงทุนโครงการใหญ่ หลังแนวโน้มรายได้-กำไรชะลอ
นายคเนศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ TPC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า จากสถานการณ์ทั้งราคาน้ำม้นดิบปรับตัวลง และวิกฤิตการเงินโลกที่กระทบตลาดส่งออก ส่งผลให้แนวโน้มรายได้และกำไรของบริษัทชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังติดตามราคาน้ำม้นดิบในปลายปีนี้ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ทั้งนี้ คาดว่าปีหน้าสเปรดน่าจะปรับลดลงมาก 10-20% หรือมาที่ประมาณ 400-500 เหรียญ/ตัน จากปี 51 ที่มีสเปรดเฉลี่ยประมาณ 600 เหรียญ/ตัน
"ปีหน้ายังมองไม่ออก ปีหน้าเราก็ต้องรัดตัวเอง การลงทุนใหญ่ไม่ทำ ถ้าเกิดตลาดยังไม่ดีก็ยังไม่ต้องเดินเครื่อง แต่หากน้ำมันดิบลงก็อาจมีโอกาสที่ PVC จะปรับลงอีก ผมคิดว่าราคาน้ำมันนิ่งหรือเริ่มเข้าที่ ราคาขายอาจจะไม่สูง แต่ตัววัตถุดิบก็ไม่สูง ตัวสเปรดอาจจะยังโอเค คือยังไม่ถึงขั้นขาดทุน" นายคเนศ กล่าว
บริษัทตัดสินใจที่จะชะลอเดินเครื่องโครงการในเวียดนามออกไปเล็กน้อยเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในไตรมาส 3/52 จากเดิมไตรมาส 2/52 โดยเมื่อ ก.ย.51 เริ่มย้ายเครื่องจักรไปที่เวียดนาม ซึ่งจะมีกำลังการผลิต 9 หมื่นตัน/ปี เพื่อขายในเวียดนามทั้งหมด เพราะยังเห็นว่าตลาดยังพอไปได้ในปีหน้า
รวมทั้ง ในปีหน้าบริษัทก็จะลดกำลังการผลิตลงมาที่ 5.6 แสนตันจาก 5.8 แสนตันในปี 51 โดยบริษัทมีเป้าหมายงบลงทุนไม่ถึง 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบลงทุนตามปกติที่ตั้งไว้ในแต่ละปี ส่วนปี 51 ใช้เงินลงทุนโครงการที่เวียดนามไปแล้ว 1,300 ล้านบาท
สำหรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่บริษัทร่วมทุน(18%)กับบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)ในเวียดนามมูลค่าโครงการ 5-6 พันล้านบาทนั้น นายคเนศ ปฏิเสธจะให้รายละเอียด หลังมีกระแสข่าวว่าจะมีการเลื่อนโครงการดังกล่าว
"ทั้งปี 51 กำไรสุทธิจะออกมาใกล้เคียงกับปีก่อน
นายคเนศ กล่าวว่า รายได้รวมในปี 51 จะได้ตามเป้าที่ 10% หรือไม่ขึ้นอยู่กับไตรมาส 4/51 ซึ่งยอมรับว่าขณะนี้ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากราคาน้ำมันและปิโตรเคมียังไม่นิ่งและยังคงไหลลง
"เราจะมีวอลุ่มมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตัวนี้ลำบาก เราเคยขายรายใหญ่ ก็คงต้องหันมาขายรายเล็กรายน้อย แต่ก็ต้องระวังเรื่องหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม ในช่งง 9 เดือนที่ผ่านมาก็ถือว่าโอเค โดยคาดว่าทั้งปีจะยังคาดว่าจะมีปริมาณขายได้ 7.7 แสน หรืออาจจะต่ำลงเล็กน้อย ประมาณ 4-5 พันล้านตัน"นายคเนศ กล่าว
ทั้งนี้ ในงวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.6 พันล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.7 พันล้านบาท ส่วนรายได้รวม 2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันจของปีก่อนที่มีรายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท
ในไตรมาส 4/51 บริษัทคาดว่าราคาขาย PVC คงจะปรับลงตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ราคา EDC(ซึ่งเป็นวัตถุดิบ)ก็ลงตาม โดยขณะนี้ราคาปรับลงมาที่ 700-800 เหรียญ/ตัน จากไตรมาส 3/51 ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1 พันเหรียญ/ตัน
"หลังจากที่ราคาในเดือนก.ย.เริ่มปรับลง มองว่าในไตรมาส 4 จะไม่ดี เพราะมาจากได้รับ Impact จาก Financial Crisis คงกระแทกมาถึงเราบ้าง ซึ่งก็น่าจะเยอะในตลาดส่งออก ส่วนตลาดในประเทศซึมๆมานานแล้ว ตั้งแต่การเมืองแย่ ...ขณะนี้ยังไม่สามารถ Fix ราคาขายได้ ราคาไหลลงเรื่อยๆ ตอนนี้ลงไปที่ 700-800 เหรียญ/ตัน" นายคเนศกล่าว
นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 ได้ลดการผลิต PVC ลงราว 25-30% จากเดิม โดยได้ปิดสายการผลิตที่ 3 และ 4 ที่โรงงานพระประแดงที่มีกำลังการผลิตรวม 9 หมื่นตัน/ปีไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค.51 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ราคา PVC ในไตรมาส 3/51 เฉลี่ยอยู่ที่ US$ 1,237/ตัน สำหรับในช่วงเดือนกันยายน ราคา PVC เริ่มปรับตัวลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัว
นายคเนศ คาดว่า ในไตรมาส 4/51 สเปรดอาจจะได้ต่ำกว่านี้ 400 เหรียญ/ตัน เนื่องจากบริษัทยังมีต้นทุนเก่าอยู่ระดับหนึ่ง ทำให้ฉุดสเปรดลง ขณะที่ราคาขายก็ไม่ดี จึงคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/51 จะออกมาไม่ดี แต่ทั้งปี 51 บริษัทยังคาดว่า สเปรดยังดี เฉลี่ยสเปรดประมาณ 600 เหรียญ/ตัน เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกได้ราคาดี
*โบรกฯแนะ"ขาย" คาดเผชิญภาวะขาลงเต็มที่ในปี 52
ฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส ได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2551-2552 ลงค่อนข้างมีนัย เนื่องจากราคา PVC และเอทิลีน เนื่องจากการปรับตัวลดลงอย่างมีนัย ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และ Demand ของ PVC ที่อ่อนตัวลงจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมาก ทำให้ภาวะการลงทุนชะลอตัวตามด้วย และการปรับลดกำลังการผลิต PVC และ VCM ในไตรมาส 4/51 และปี 2552 รวมไปถึง ชะลอแผนการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในสายที่ 2 อีก 9 หมื่นตัน/ปีที่เวียดนามออกไปถึงกลางปี 52 โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานของ TPC จะอ่อนตัวอย่างมีนัยฯ ตั้งแต่ ไตรมาส 4/51 เป็นต้นไป อีกทั้งยังคาดว่าจะมีผลกระทบจากขาดทุนสินค้าคงเหลืออีกบางส่วน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับแผนการลงทุนใหม่ๆ โดยจะเน้นการลงทุนที่เป็นโครงการระยะสั้นคืนทุนเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงของความผันผวนของธุรกิจที่เผชิญอยู่ ทำให้คาดเดาได้ว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในเวียดนาม คงชะลอออกไปไม่มีกำหนดเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ ผลจากการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2551-52 ส่งผลให้คาดการณ์เงินปันผลลดลงด้วย จึงได้ปรับลดคำแนะนำลงทุนเป็นขาย จากเดิมถือ โดยมีราคาเหมาะสมที่ 13.60 บาท
ขณะที่ บล.เคจีไอ แนะนำให้ถือ ราคาเป้าหมาย 11.16 บาท และ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) แนะถือเช่นกันในราคาเป้าหมายที่ 14.80 บาท
ราคาหุ้น TPC เช้านี้เคลื่อนไหวที่ 13.40 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ -1.47%