นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)คาดว่า กำไรสุทธิในปี 51 จะลดลงจากปีก่อน โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะมีกำไรต่ำกว่าครึ่งปีแรกทีมีกำไร 1.43 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จะส่งผลต่อเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลังลดน้อยกว่าที่จ่ายปันผลระหว่างกาลในช่วงครึ่งปีแรกไปที่ 5.50 บาท/หุ้นด้วย
"ยอมรับว่ากำไรสุทธิปีนี้น่าจะลดลงกว่าปีก่อน เนื่องจากราคาปิโตรเคมีเข้าสู่ข่วงขาลง และจะเป็นขาลงต่อเนื่องไปถึงปี 52, 53 รวมถึงปีนี้ เรายังได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานในช่วงครึ่งปีแรกสูงมาก เพราะใช้นาฟทาเป็นวัตถุดิบ"นายกานต์ กล่าว
อนึ่ง ในปี 50 กลุ่ม SCC มีกำไรสุทธิ 30,351.90 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่า เครือซิเมนต์ไทย(SCG)จะทำยอดขายในปีนี้ให้เติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 10% หรือมียอดขายเกินกว่า 3 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เร่งผลักดันการส่งออกสินค้าของเครือเพิ่มมากขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ปูนซิเมนต์ ปิโตรเคมี และกระดาษ
*ปี 52 เน้นกลยุทธขยายตลาดใหม่ทดแทนสหรัฐ-ยุโรป เพิ่มความระมัดระวังการลงทุน
นายกานต์ กล่าวว่า ในการดำเนินธุรกิจของเครือ SCC ในปี 52 ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว จากปัญหาวิกฤติการเงินสหรัฐที่กำลังลุกลามมายังภาคพื้นยุโรป ขณะที่บริษัทพึ่งพาตลาดส่งออกในสหรัฐและยุโรป ประมาณ 10% จึงคาดว่าจะได้รับผลกระทบต่อยอดขายประมาณ 3%
นอกจากนี้ ก็ต้องประเมินตลาดส่งออกในอาเซียน 40-50% ว่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมหรือไม่ เนื่องจากกลุ่มประเทศอาเซียนก็เป็นตลาดส่งออกใหญ่ของบริษัทเช่นกัน พร้อมกันนั้น บริษัทก็พยายามหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาทดแทน อาทิ ตลาดตะวันออกกลาง และ แอฟริกา เป็นต้น
นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ร่วมกับรัฐบาลเวียดนามมูลค่า 32.5-4.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีโอกาสที่จะล้มเลิก เนื่องจากโครงการนี้ใช้เงินกู้ประเภท Project Finance ทั้ง 100% จึงอาจจะมีปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 52 และหากตัดสินใจดำเนินการตามแผนก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 57
"เป็นไปได้ ที่เราจะยกเลิกโครงการนี้ แม้ว่าจะมีการลงทุน ศึกษาโครงการ แต่ขนาดการลงทุนสูงถึง 3,500 -4,000 ล้านเหรียญ และใช้ Project Finance ทั้งหมด คงเป็นเรื่องยากที่สถาบันการเงินจะมีสภาพคล่องให้บริษัทกู้ยืม แต่ก็ยอมรับว่าเวียดนาม ยังเป็นตลาดที่ดี โอกาสในการเติบโตสูง หากไม่ลงทุนโครงการนี้ ก็ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาส" นายกานต์ กล่าว
สำหรับการลงทุนขยายโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ที่กัมพูชา บริษัทยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือจะปรับปรุงคุณภาพโรงงานเดิม แต่ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีปัญหา แม้ว่าขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาก็ตาม
*เล็งออกหุ้นกู้กว่า 2.5 หมื่นลบ.ในปีหน้าง
นายกานต์ กล่าววา ในปี 52 บริษัทจะออกหุ้นกู้ใหม่มากกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบอายุในปีหน้าจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท และ ส่วนที่เหลือจะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน เช่นเดียวกับปี 51 ที่บริษัทมีหุ้นกู้ครบอายุ 2 ชุดจำนวน 2 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทได้เสอนขาย 3.5 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องสูง และเชื่อมั่นว่า หุ้นกู้ของบริษัทยังได้รับความนิยม โดยการเสนอขายครั้งล่าสุดได้มีนักลงทุนจองเกินกว่าจำนวนที่เปิดขาย
ทั้งนี้ ในปีหน้ามองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่ และกังวลจะกระทบมาถึงเอเชีย ดังนั้น ต้องการให้ภาครัฐเตรียมความพร้อมทั้งด้านนโยบายการเงินและการคลัง และนำมาปฏิบัติจริงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายในเรื่องสำคัญ เพพื่อนำไปใช้ในโครงการสาธารณูปโภค เพราะวว่าปีหน้าภาคอสังหาริมทรัพย์มองว่าจะภาวะถดถอย และการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศจะติดลบเป็นปีที่ 4 ติดต่อกีน