นายพัชวัฏ คุณชยางกูร ประธานกรรมการ บมจ.สามชัย สตีล อินดัสทรี(SAM)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/51 คงจะขาดทุนเนื่องจากสต็อกเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบราคาต้นทุนสูง ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับลดลงตามตลาดโลก คาดว่าจะส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ร่วงลงถึงขั้นติดลบ และอัตราเฉลี่ยในปีนี้จะออกมาต่ำกว่า 11-12% พร้อมยอมรับยอดขายทั้งปีพลาดเป้า 5 พันล้านบาท แต่ยังสูงกว่าปีก่อน และยังจะมีกำไรจากผลบวกในช่วงต้นปี
ทั้งนี้ ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมากและยังไม่นิ่ง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/51 ค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทมีวัตถุดิบเหล็กในสต็อกที่เป็นราคาเก่าเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าตัน ใช้ในการผลิตได้อีกประมาณเดือนกว่าๆ ซึ่งมีราคาต้นทุนที่ 30 กว่าบาท/ก.ก.ขณะที่ปัจจุบันราคาปรับลดลงเหลือประมาณ 26-27 บาท/ก.ก.
"สต็อกต้องโดนแน่ ๆ ต้องเจ็บตัวอยู่แล้ว เหมือนขาขึ้นถ้าเรามีสต็อกก็ตรงข้ามกัน ซึ่งจะทำให้ไตรมาส 4 น่าจะขาดทุนแต่ตัวเลขจะเป็นเท่าไร ตอนนี้ยังปรับอะไรไม่ได้เพราะทุกอย่างยังไม่นิ่งคงจะต้องดูสถานการณ์ไตรมาส 4 ว่าเป็นอย่างไร เหล็กยังไม่รู้จะลงต่อหรือว่าหยุดอย่างไร ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ต้องให้ทุกอย่างนิ่งก่อนแล้วค่อยว่ากันในเรื่องตัวเลข"นายพัชวัฎ กล่าว
นายพัชวัฎ กล่าวว่า อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/51 จะลดลงจากปัญหาขาดทุนสต็อกวัตถุดิบ ส่วนจะมากหรือน้อยอย่างไรขึ้นอยู่กับราคาขาย หากราคาลดลงมาร์จินก็จะต่ำ แต่ยอมรับว่ามีโอกาสที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้จะติดลบ และทั้งปีนี้อาจพลาดเป้าจาก 11-12% แต่เนื่องจาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมายังมีกำไร จึงน่าจะทำให้ทั้งปีนี้บริษัทมีผลประกอบการเป็นกำไรได้
"อัตรากำไรขั้นต้นตอนนี้ปริ่มๆ แล้ว อาจจะเข้าเนื้อ คิดว่ากำไรขั้นต้นคงเข้าเนื้อเพราะวัตถุดืบของเราแพง ไตรมาส 4 อัตรากำไรขั้นต้นคงไม่มี แต่ทั้งปีน่าจะเป็นกำไรได้เพราะไตรมาส 1-2-3 เราเป็นกำไร ขาดทุนไตรมาส 4 ไตรมาสเดียว"นายพัชวัฎ กล่าว
ปัจจุบันราคาเหล็กอยู่ที่ 30 บาทต้นๆ/ก.ก. จาก peak เกือบ 40 บาท/ก.ก.ตอนนี้ลงไป 7-8 บาท โดยแนวโน้มราคาเหล็กจะฟื้นตัวเมื่อใดยังคาดเดาได้ยาก เนื่องจากเป็นสินค้า commodity ที่ราคาขึ้นอยู่กับตลาดโลก และมีเฮดจ์ฟันด์เข้ามาเก็งกำไร แต่บริษัทก็ยังจำเป็นต้องมีสต็อกเพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตให้เดินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่เดือนละประมาณ 1.5 หมื่นตัน ปีนี้คงลดลง 10% กว่า เหลือ 1.2 หมื่นตัน ตามความต้องการของตลาด
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายปีนี้ยังจะสูงกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 3.9 พันล้านบาท แม้ว่าจะพลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 5 พันล้านบาท แต่ก็น่าจะทำยอดขายได้กว่า 4 พันล้านบาท โดยยอดขายชะลอลงไปในช่วงไตรมาส 3-4/51 ส่วนจะรายได้เติบโตได้มากน้อยแค่ไหนยังต้องดูผลงานในไตรมาส 4/51 ก่อน เพราะทุกอย่างผันแปรไปหมด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจโลก และปัญหาซับไพร์ม
นายพัชวัฎ คาดว่า ปริมาณขายปีนี้ยังน่าจะทำได้ 2-3 แสนตันใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ราคาที่ปรับตัวสูงในไตรมาส 1/51-2/51 ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
สำหรับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจนั้น ขณะนี้ยังไม่มีติดต่อเข้ามา เพราะภาวะตลาดโดยรวมยังไม่เอื้อ การเจรจากับใครขณะนี้ค่อนข้างลำบาก ต้องให้นิ่งก่อนรอคลื่นให้สงบค่อยว่ากัน และขณะนี้ก็ยังจะไม่มีการพิจารณาลงทุนใหม่ เพราะต้องประคองตัวไปก่อน
การที่ราคาหุ้นช่วงนี้ต่ำไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง แต่เป็นไปตามภาพรวมที่หุ้นต่ำกว่าพาร์หลายตัว ส่วนจะซื้อหุ้นคืนหรือไม่ช่วงนี้คงยังไม่ทำ แต่คงต้องรอให้ภาวะปกติก่อน