สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ที่จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 80 ล้านหุ้น โดยมี บล. ไทยพาณิชย์ จำกัด บล. ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ณ วันที่ 30 ก.ย.51 บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในบริษัทย่อยจำนวน 86 บริษัท และบริษัทร่วม 3 บริษัท แบ่งเป็นกลุ่มเบียร์ ที่จัดจำหน่ายเบียร์ น้ำดื่ม น้ำโซดา และผลิตภัณฑ์พลอยได้โดยมีบมจ.เบียร์ไทย บจ.เบียร์ทิพย์ และ บจ.คอสมอส เป็นเจ้าของและดำเนินการ มีโรงผลิตเบียร์ 3 โรง รวมกำลังการผลิตประมาณ 1.55 พันล้านลิตร/ปี
ทั้งนี้ ในปี 50 กลุ่มธุรกิจเบียร์ มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 46.7%ของตลาดเบียร์ภายในประเทศ โดยน้ำดื่มและน้ำโซดา จำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า"ช้าง" ส่วนเบียร์ จำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า" ช้าง" , "ข้างไลท์" ,ช้างดราฟต์","อาชา" และ "เฟเดอร์บรอย"
กลุ่มธุรกิจสุรา ผลิตและจำหน่ายสุราขาว สุราผสม สุราแช่ และสุราสี โดยมีบริษัทย่อย 18 บริษัท และเป็นเจ้าของโรงงานสุรา 18 แห่งมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 819 ล้านลิตรต่อปี กำลังผลิตรวม 819 ล้านลิตร/ปี ส่วนกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮออล์ ได้แก่ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง กาแฟพร้อมดื่ม โซดา น้ำดื่ม รวมถึงอาหาร
และกลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องและอื่นๆ อาทิ จัดซื้อกากน้ำตาล จัดซื้ออะไหล่ จำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตอิฐและกระเบื้องปูพื้น ปุ๋ยชีวภาพ
ไทยเบฟฯ ยังอยู่ระหว่างการจัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ บมจ.โออิชิ กรุ๊ป(OISHI) หลังจากเข้าซื้อหุ้น OISHI ในสัดส่วน 43.9% และ ไทยเบฟฯ ได้ขายหุ้นทั้งหมดในบมจ.ไทยแอลกอฮอล์
ในงบปี 49 , ปี 50 และ งวด 6 เดือนปี 51 ไทยเบฟฯ มีสินทรัพยฺ์รวม 85,579.5 ล้านบาท, 79,526.9 ล้านบาท และ 79,527.0 ล้านบาท ส่วนหนี้สินรวม มีจำนวน 33,026.0 ล้านบาท, 24,574.1 ล้านบาท และ 24,195.6 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 52,553.6 ล้านบาท, 54,952.8 ล้านบาท และ 55,636.4 ล้านบาท
สำหรับรายได้จากการขาย มีจำนวน 97,797.9 ล้านบาท, 100,540.9 ล้านบาท และ 51,082.9 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ มีจำนวน 10,054.8 ล้านบาท, 10,383.1 ล้านบาท และ 5,019.0 ล้านบาท