BCP ทบทวนแผนลงทุนธุรกิจใหม่ แต่เดินหน้าธุรกิจน้ำมันรับค่าการกลั่นสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 27, 2008 12:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)ชะลอลงทุนธุรกิจใหม่ในปี 52 หลังสถานการณ์เศรษฐกิจในและต่างประเทศเปลี่ยนแปลงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทบทวนแผนโครงการเอทานอลและโครงการเหมืองแร่โปแตช ซึ่งอยู่ระหว่างผลการศึกษา เหตุต้องใช้เงินลงทุนหลายพันล้านบาท หวั่นแบงก์ไม่ปล่อยกู้ แต่ยังเดินหน้าธุรกิจเกี่ยวเนื่องโรงกลั่นน้ำมัน โดนเดินหน้าโครงการผลิตไบโอดีเซล กลางปีหน้าเริ่มผลิตที่ยังหนุนธุรกิจหลักได้

ขณะเดียวกันในปีหน้าผู้บริหารมั่นใจผลประกอบการก้าวกระโดด หลังโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน(PQI)เดินเครื่องได้ธ.ค.คาดก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม(EBITDA)จะเพิ่มเป็น 6-7 พันล้านบาท จากปี 51 คาดว่าจะได้ตามเป้าที่โต 15% จาก 2.3 พันล้านบาท(ไม่รวมสต็อกน้ำมัน)ในปี 50 จากค่าการกลั่นดีขึ้นและค่าการตลาดสูงขึ้นกว่าปีก่อน

*ทบทวนแผนลงทุนธุรกิจใหม่

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP กล่าวว่า ในปี 52 แผนธุรกิจใหม่ยังไม่สรุปว่าจะลงทุนโครงการอะไร และบริษัทก็ยังรอผลการศึกษาโครงการต่างๆ อยู่

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นมีอยู่ 2 โครงการใหม่ที่มีความเป็นไปที่จะลงทุน ได้แก่ โครงการผลิตเอทานอล และ โครงการเหมืองแร่โปแตช แต่ทั้งสองโครงการใช้เงินลงทุนรวมกันจำนวนหลายพันล้านบาท ซึ่ง ณ วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป และผู้ให้กู้หรือแบงก์ก็ระมัดระวังมากขึ้น ส่วนบริษัทเองก็ไม่ได้รีบร้อนมากขนาดนั้น ดังนั้นจึงขอทำโครงการ PQI ให้ดีและราบรื่นก่อน

"ตอนนี้ยังสรุปไม่ได้เงินลงทุนปีหน้าคงต้องรอหลายปัจจัย รวมทั้งผลการศึกษาด้วย เรามีหลายโครงการ แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ เพราะว่าสถานการณ์วันนี้กับเมื่อครึ่งปีแรกผิดไปสิ้นเชิง...ตอนนี้ 2 โครงการมีโอกาสที่จะเข้าลงทุนโครงการอื่นยังไม่ตัดสินใจอะไร โครงการเอทานอลกำลังศึกษา ส่วนโครงการโปแตชกำลังศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและผลตอบแทนโครงการด้วย จากราคาน้ำมันลดลงจะคุ้มทำต่อหรือไม่"นายอนุสรณ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

ก่อนหน้านี้ บริษัทมีแผนจะเข้าลงทุนธุรกิจเอทานอล มีกำลังการผลิต 2-3 แสนลิตร/วัน ใช้เงินลงทุนประมาณกว่า 1 พันล้านบาท ผลผลิตรองรับการใช้ในประเทศเป็นหลัก ที่เหลือจะทำการส่งออก โดยจะร่วมทุนกับผู้ผลิตน้ำตาลคาดสรุปแผนในปีนี้

ส่วนโครงการโปแตช บริษัทเพิ่งเข้าร่วมทุนบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด โดยเข้าร่วมประมูลซื้อหุ้นสามัญจากธนาคารทหารไทย(TMB)จำนวน 765,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.56% ของทุนจดทะเบียนที่จำหน่ายได้แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 79,996,050 บาท และมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเพิ่มเป็นระดับ 25-30% เพื่อเข้าบริหารโครงการเอง

"เราอยากทำโน่นทำนี่ ทั้งหมดโครงการดูต้องดูแหล่งเงินเข้าใจว่าแบงก์ก็ค่อนข้างระมัดระวัง ในการปล่อยกู้ เราก็ยังไม่แน่ใจ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เข้าไปทำธุรกิจใหม่แล้ว มีปัญหาเงินลงุทนหรือเปล่า เพราะเราต้องกู้ยืมด้วย"นายอนุสรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าบริษัทเดินหน้าโครงการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงกลั่น โดยเฉพาะโครงการผลิตไบโอดีเซล คาดว่าจะเสร็จกลางปี 52 มีกำลังการผลิต 3 แสนลิตรต่อวัน ใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งอนาคตบริษัทจะเน้นขายดีเซล B5 เป็นหลัก คาดว่าตลาดจะขยายตัวได้ดี

"โรงงานใหม่เราทำ 3 แสนลิตรต่อวัน เราคงต้องเดินแค่นี้ไปก่อน และถ้ามีลู่ทางจะขยายก็คงต้องว่ากันอีกที ซึ่งลงทุนไปแล้วประมาณ 1 พันล้านบาทเราคงดูว่า ขาย smooth ไหม"นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้จัดตั้งบริษัท บางจาก ไปโอฟลูเอล โดยจะถือหุ้น 70% ร่วมกับ บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ เคมีคัลส์ ที่ถือ 30% สร้างโรงงานผลิตไบโอดีเซล ที่ อ.บางปะอิน จ.อยุธยา ด้วยเงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท คาดจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ประมาณ 4 พันล้านบาท/ปี

*ทำใจปี 51 ขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ EBITDA คาดโตได้ดีกว่าเป้า

นายอนุสรณ์ ยอมรับว่า ราคาน้ำมันที่ลดลงมีผลทางบัญชีส่งผลให้มูลค่าสต็อกน้ำมันหายไป และจะเกิดผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน(stock loss)ซึ่งก็เหมือนกับทุกโรงกลั่น

"stock loss วันนี้เราไม่รู้ว่าขาดทุนเท่าไร เรายังเหลืออีก 2 เดือน เราไม่รู้สุดท้ายราคาน้ำมันเป็นยังไง เพราะฉะนั้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับเดือนสุดท้าย ยิ่งราคาวันสุดท้ายจะมีผล"นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ BCP มีสต็อกน้ำมันอยู่ประมาณ 3.6-3.7 ล้านบาร์เรล

แต่นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในเรื่องของผลการดำเนินงานจริง ในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใจ และค่าการกลั่นน่าจะอยู่ที่ 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อนอยู่ที่ 2-3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับราคาขายปลีกในช่วงที่ผ่านมามีค่าการตลาดสูงขึ้น โดยฉลี่ยทั้งปีน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว โดยน่าจะได้มากกว่า 1 บาท/ลิตร จากปีที่แล้วเฉลี่ยไม่ถึง 1 บาท/ลิตร

"ปีนี้เราก็ยังมีค่าการกลั่นที่ใช้ได้ ไม่รวมผลจาก ขาดทุนสต็อกน้ำมัน เพราะฉะนั้นถ้าดูในแง่ operation เราพอใจ แต่เนื่องจากมีผล stock loss เวลาดูผลประกอบการสุดท้ายก็จะดูไม่ดี ก็จะหมือนกันทั่วโลก...สรุปรวมๆ ผมว่าของบางจากธุรกิจเรา ถ้าพูดในเชิง operation โรงกลั่น ก็มีค่าการกลั่นกับค่าการตลาดที่เราพอใจ"

"เรามองครึ่งปีแรก ทำได้ตามเป้าหมายเยอะ ค่าการกลั่นที่เห็น 2-3 เดือนข้างหน้า เราก็ยังอยู่ในระดับที่พอใจ เพราะฉะนั้น EBITDA ที่เราตั้งไว้ ไม่รวมสต็อกน้ำมัน น่าจะดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้"นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ BCP ได้ตั้งเป้าหมายปีนี้ EBITDA จะโต 15% จาก 2.3 พันล้านบาทในปีก่อน

*ปี 52 มั่นใจผลประกอบการก้าวกระโดด

นายอนุสรณ์ คาดว่า ในปีหน้าจะมีผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร หลังจากโครงการ PQI เดินเครื่องและรับรู้รายได้ ประกอบกับ บริษัทได้บริหารความเสี่ยงไว้ระดับหนึ่ง ด้วยการทำสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า โดยคาดว่า ค่าการกลั่นของบริษัทน่าจะขยับขึ้นไปเป็น 7-8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากขณะนี้มีค่าการกลั่น ใกล้ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

และยังเห็นว่า ค่าการกลั่นในตลาดฟิวเจอร์ส อยู่ระดับที่ใช้ได้ เพราะฉะนั้นก็คิดว่าในปีหน้าบริษัทจะมีผลประกอบการดีขึ้น โดยเฉพาะถ้าวันปิดบัญชีของปี 51 ราคาน้ำมันดิบดูไบลงต่ำ 60 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะส่งผลดีต่อปีหน้า เพราะฐานต่ำ ฉะนั้นในปีหน้าบริษัทก็จะได้สองต่อ คือเรื่องราคาน้ำมันต่ำ ที่จะได้ stock gain บวกกับผลประกอบการ

ทั้งนี้ โครงการ PQI ขณะนี้เริ่มทอดลอง และจะเริ่มผลิตจริงในเชิงพาณชิย์ได้ในปลายเดือนธ.ค.51 และจะค่อยๆ ปรับขึ้นให้เต็มกำลังคาดว่าในเดือน ก.พ.52 โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีหน้า

และในปีหน้าวางแผนกลั่นน้ำมันที่ระดับ 1 แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มจากปีนี้ที่กลั่นระดับ 7 หมื่นบาร์เรล/วัน และมีค่าการกลั่นอยู่ที่ 7-8 เหรียญ/บาร์เรล ก็คาดว่าบริษัทจะมี EBITDA ประมาณ 6-7 พันล้านบาท จากปกติที่ผ่านมา มี 2 พันกว่าล้าน ก็ถือว่า เราก้าวกระโดดพอสมควร แต่เรื่องสต็อกน้ำมันก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทางบัญชี

"เราตั้งใจมองว่าปีหน้า EBITDA จะได้ 6 พันกว่าล้าน ซึ่งเราน่าจะก้าวขึ้นไปได้ เพราะว่าเราก็ดูฟิวเจอร์ขณะนี้ว่าค่าการกลั่นในข้างหน้าก็อยู่ในระดับที่พอใช้ได้ และเราก็บริหารความเสี่ยงไว้ระดับหนึ่ง และเรายังคิดว่า ค่าการกลั่นปีนี้น่าจะอยู่ใกล้ๆ 7 เหรียญฯ ถ้าโชคดีก็อาจจะถึง 8 เหรียญฯ"นายอนุสรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็เป็นห่วงความต้องการใช้น้ำมันในประเทศมากกว่าเพราะจะส่งต่อกำลังการผลิต โดยบริษัทกำลังติดตามว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศปรับขึ้นไปหรือไม่ เพราะหากปริมาณการใช้น้ำมันประเทศยังสูงขึ้นก็จะช่วยให้เราใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่ แต่หากปริมาณการใช้ไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย บริษัทก็อาจจะต้องนำส่วนเกินนำส่งออกไปบ้าง

*มองปีหน้าธุรกิจโรงกลั่นยังโอเค

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แม้ว่าหลายคนจะประเมินว่าธุรกิจโรงกลั่นจะไม่ดีในปีหน้าก็ตาม แต่เรื่องนี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากยังมีความต้องการจากจีน อินเดีย ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับโรงกลั่นใหม่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้าก็ยังไม่เสร็จ เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาสัดส่วนการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มขึ้นระดับ 7-8 แสนบาร์เรล/วัน น้อยกว่าในปีนี้ที่มีความต้องการระดับประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ก็มองว่าโรงกลั่นใหม่ที่จะขึ้นมาทดแทนโรงเก่าก็เพิ่มไม่ทัน

ฉะนั้น แม้ดีมานด์ลดแต่ซัพพลายก็ไม่ได้เพิ่มมาก ก็จะทำให้ปีหน้า อาจจะยังมีค่าการกลั่นที่ใช้ได้ อาจจะไม่ดีเท่าปีนี้ แต่ค่าการกลั่นฟิวเจอร์สก็ยังสูง 6 เหรียญ/บาร์เรล ขึ้นไป ซึ่งถือว่าดี

"คิดว่า ปีหน้าธุรกิจโรงกลั่นก็ยังโอเค เพียงแต่วันนี้ภาพรวมเจอผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงกว่า 140 เหรียญ ดิ่งลงมาที่กว่า 60 เหรียญ ซึ่งตรงนี้สุดวิสัย ก็จะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าเรื่องสต็อกน้ำมันที่ขาดทุน" นายอนุสรณ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ