นายสุรชัย เสนศรี กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจจีเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนเข้าไปทำตลาดเพลงไทยในภูมิภาคเอเชีย 9 ประเทศที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ “หน่วยธุรกิจจีเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล" จะมีรายได้ประมาณ 40 ล้านบาท
บริษัทเน้นจับมือกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในประเทศนั้นๆ อาทิ เอเว็กซ์, โอเชียน บัตเตอร์ฟลาย, มิวสิก้า ฯลฯ ร่วมบริหารจัดการศิลปินและคอนเทนต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้มีรายได้จากหลายช่องทางมากที่สุด เช่น รายได้จากธุรกิจขายซีดี วีซีดี และดีวีดีเพลง รายได้จากธุรกิจขายเพลงดิจิตอล รายได้จากธุรกิจโชว์บิซ เพื่อเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการเพลงแบบครบวงจร (Total Music Business) ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทั้งคนไทย และคนท้องถิ่นแต่ละประเทศทั่วเอเชีย
“ผมคิดว่าคีย์ ทู ซัสเซสของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ทางด้านการทำตลาดเพลงไทยในเอเชีย น่าจะอยู่ที่บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการเพลงแบบครบวงจร (Total Music Business) ที่มีคอนเทนต์และทาเลนต์ ทั้งแข็งแกร่งและใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ผนวกกับการหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อร่วมบริหารจัดการศิลปินและคอนเทนต์ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเราวางโพซิชั่นนิ่งเพลงไทยดีๆ และเจาะตรงกลุ่มเป้าหมายจะมีโอกาสเป็น นิช มาร์เก็ต อิน เดอะ บิ๊ก เพราะคนเอเชียส่วนใหญ่ชื่นชอบความเป็นไทยอยู่แล้ว" นายสุรชัย กล่าว
บริษัทฯ แบ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ 1.ขายเพลงแนวป๊อป เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ที่ชื่นชอบเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไทย อาหารไทย คนไทย หรือเคยมาเมืองไทย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะรู้สึกคุ้นเคยกับเพลงไทย และ 2.ขายเพลงลูกทุ่ง เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยที่ไปทำงานต่างแดนแล้วคิดถึงบ้าน (Home Sick Business) ซึ่งถือเป็นปีแรกที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจเพลงไทยในภูมิภาคเอเชียอย่างจริงจัง
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า ล่าสุดเตรียมนำอัลบั้มใหม่ Ice with U ซึ่งวางจำหน่ายในไทยแล้ว ไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่นประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ จากนั้นเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ กลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาแมนดาริน ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาบาฮาซา ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
ขณะที่แผนดำเนินธุรกิจเพลงไทยในญี่ปุ่นปี 2552 แบ่งออกเป็น ช่วงครึ่งปีแรกเตรียมทำตลาดให้กับ “เป๊ก-ออฟ-ไอซ์" และช่วงครึ่งปีหลังเตรียมทำตลาดให้กับ “บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมขยายธุรกิจขายเพลงแนวป๊อปไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตลอดปี 2552 โดยอยู่ระหว่างเตรียมทำตลาดให้กับ “ชิน ชินวุฒิ อินทรคูสิน" ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาแมนดาริน และกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาบาฮาซา, เตรียมทำตลาดให้กับ “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์" ในมาเลเซีย หลังจากประสบความสำเร็จในการทำตลาดเกาหลี, เตรียมทำตลาดให้กับ “กอล์ฟ-ไมค์" ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาแมนดาริน หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการทำตลาดในญี่ปุ่นและเกาหลี, เตรียมจัดโชว์บิซให้กับ 2 ศิลปินในสิงคโปร์ คือ ดา เอ็นโดรฟิน และแคลช ประมาณ 5 ครั้งต่อศิลปินต่อปี
ส่วนแผนดำเนินธุรกิจเพลงลูกทุ่งในภูมิภาคเอเชียในปี 2551 ได้เข้าไปทำตลาดในไต้หวัน โดยนำศิลปิน “เสก โลโซ" และ “พี สะเดิด" เข้าไปเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทย ขณะเดียวกันเข้าไปทำตลาดในสิงคโปร์ โดยนำศิลปิน “ต่าย อรทัย" และ “ตั๊กแตน ชลดา" เข้าไปเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานอาศัยในสิงคโปร์ประมาณ 5 หมื่นคน และในปี 2552 เตรียมเข้าไปทำตลาดในฮ่องกง และเตรียมเข้าไปทำตลาดในเกาหลีใต้
สาเหตุที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเพลงไทยในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโตสูง เพราะปัจจุบันตลาดเพลงในภูมิภาคเอเชียมีมูลค่าประมาณ 127,821 ล้านบาท คิดสัดส่วนเป็น 17.8% ของตลาดเพลงทั่วโลกที่มีมูลค่าประมาณ 717,086 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโตมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย เพราะมีมูลค่าตลาดประมาณ 16 หมื่นล้านบาท (เทียบจาก 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 34 บาท) จัดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ตามด้วยเกาหลีใต้ ไทย ไต้หวัน จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ