ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดภาคบ่ายดีดแรงกว่า 5% พุ่งทะลุ 400 จุดไปแล้ว จากช่วงเช้าที่ปิดบวก 10.81 จุด ตามแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคปในกลุ่มธนาคาร และ กลุ่มพลังงาน โบรกฯมองเป็นเทคนิคเคิลรีบาวน์ตามตลาดหุ้นญี่ปุ่น ฮ่องกงและเกาหลี ต่างก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 14.29 น. ดัชนีปรับขึ้นมาที่ 405.86 จุด เพิ่มขึ้น 20.37 จุด (+5.26%) และล่าสุด (14.45 น.)ดัชนีปรับลงไปเล็กน้อยที่ 403.15 จุด บวก 15.72 จุด(+4.06%)
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า การปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยช่วงบ่าย เป็นการรีบาวน์ตามตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นหั่งเส็ง (+13%) หุ้นนิเคอิ (+6.4%) และเมื่อวานดัชนีปรับลงมาเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากฟอร์ซเซลด้วย ช่วงเช้าก็ยังมีฟอร์ซเซลอยู่ ยังไม่หมด แต่ช่วงบ่ายพอฟอร์ซเซลเริ่มจางลง ประกอบกับตลาดต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น ก็มีส่วนช่วยทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย จะสังเกตุว่าแรงซื้อกลับเข้ามาในกลุ่มหลักอย่างพลังงงานและแบงก์
"เป็นเทคนิคเคิลรีบาวน์ คือหุ้นบ้านเรา 3 วันที่ผ่านมาหุ้นร่วงลงมาเกือบ 100 จุด ฉะนั้นถ้าจะขึ้นมา 20-30 จุด ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ...ตลาดยังไม่นิ่ง แต่คิดว่าวันนี้น่าจะปิดในแดนบวก ดูดาวน์โจนส์ฟิวเจอร์ยบวก 300 จุด และเห็นตลาดต่างประแทศเขียวๆ ก็ดึงดูดให้น่าลงทุน ตอนนี้เพิ่งผ่าน Index ที่ 400 จุด ถ้าขึ้นไปใกล้ๆ 420 จุด ก็คิดว่ามีแรงขาย"
อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างประเทศยังขายอยู่ โดยช่วงเช้ามี net sell อยู่ประมาณ 900 ล้านบาท
ด้านบล.ฟินันซ่า มองว่า ตลาดหุ้นรีบาวน์สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าที่ปรับขึ้นไป อย่างไรก็ตามสัญญาณในตลาดหุ้นล่วงหน้าฝั่งยุโรปกลับดูไม่เป็นใจ คือแดงเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนถึงความผันผวนที่สูงมากของตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ทำให้หุ้นขึ้น
แต่การปรับตัวขึ้นมายังไม่รู้จะยั่งยืนแค่ไหน จากเหตุผลดัชนีปรับลงแรง(Underperformed) โดย SET ทรุดลงเกือบ 60% จาก Peak ของปีที่ 886 จุด , ถูกไป (Undervalued) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อที่ตอนนี้ PE ตลาดหุ้นไทยเหลือไม่ถึง 6 เท่า และ เทคนิคดี (Bullish Divergence) ตราบใดที่ไม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเช้านี้ที่ 383.63 จุด เป้าหมายระยะสัปดาห์นี้คือ 475-485 จุด (หรือคนชอบชัวร์ รอเกิน 410 จุด แล้วค่อยตามก็ได้)
แม้ดัชนี/ราคาหุ้นแถวนี้จะถือว่าถูกมาก แต่ไม่สามารถฟันธงได้ว่าตรงนี้คือจุดต่ำสุด (bottom) ของ SETเพราะสถานการณ์ข้างหน้า โดยเฉพาะผลกระทบที่จะตามมาภายหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้ใหญ่หลวงและยังไม่ทราบความเสียหายที่แท้จริง