นายชนะ สุทธิหวังเจริญ กรรมการ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค(DCC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า เห็นพ้องกับที่โบรกเกอร์คาดว่าผลประกอบการทั้งปี 51 น่าจะเติบโตได้ถึง 18% โดยบริษัทมีเป้าหมายทำยอดขายเพิ่มขึ้น 10-20% ทุกปี ซึ่งปีนี้ก็คาดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 4.5 พันล้านบาท และยังเชื่อว่าในปี 52 รายได้และกำไรก็ยังจะเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีนี้
"DCC จะสวนกระแส ต้นทุนขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรมากขึ้น เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในตลาดหลักทรัพย์"นายชนะ กล่าว
นายชนะ กล่าวว่า แม้ว่าต้นทุนเฉลี่ยทั้งปีจะปรับขึ้น ทั้งเชื้อเพลิงประเภทก๊าซ ค่าแรงงาน และวัตถุดิบ โดยบริษัทใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงหลักในกระบวนการผลิตมากกว่าน้ำมันที่ใช้เฉพาะในด้านขนส่ง ทำให้ถึงแม้ราคาน้ำมันจะปรับลงแต่ต้นทุนโดยรวมที่ขึ้นแล้วปรับลงไปยาก
แต่บริษัทก็มีวิธีการบริหารต้นทุนที่ดี ในเมื่อสภาวะไม่เอื้อให้ปรับราคาขายสูงขึ้นก็ต้องหาทางทำยอดขายให้มากขึ้น และประหยัดด้านอื่น ๆ เพื่อมาชดเชย โดยเน้นการควบคุมค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า รวมทั้งลดอัตราของเสียให้น้อยที่สุด ยกเว้นค่าแรงต้องเป็นไปตามกฎหมาย และเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตที่ประหยัดไม่ได้ เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 40%
"LPG ถ้ายังปรับขึ้นอีกก็จะกระทบต้นทุนก็ต้องพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 40% เฉลี่ยในปีนี้ ไม่น่าจะต่ำกว่านี้หรือถ้าจะลงก็ 1-2% แล้วก็หาอย่างอื่นชดเชย เพราะเรื่องต้นทุนพวกนี้เราควบคุมไม่ได้ และค่าแรงก็ต้องปรับขึ้นให้คนงาน เราก็ประหยัดเรื่องอื่นไป" นายชนะ กล่าว
สำหรับวิกฤตการเงินโลกคงไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทมากนัก เพราะสินค้าส่วนใหญ่ของบริษัทราว 80-90% ขายในประเทศ ขณะที่ตลาดส่งออกก็จะอยู่ในแถบอินโดจีน อาจมีผลกระทบบ้างแต่ก็มีปริมาณส่งออกไม่มากนัก และไม่ได้ส่งไปขายสหรัฐหรือยุโรป ซึ่งปีนี้เศรษฐกิจยังพอไปได้ โดยเฉพาะตลาดกระเบื้อง
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าอาจจะมีปัญหาเรื่องราคาสินค้าเกษตรลดลงส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรที่เป็นลูกค้าหลักบ้าง ยังต้องลุ้นอีกครั้งว่าจะราคาสินค้าเกษตรจะลงไปนานแค่ไหนเพราะเกี่ยวข้องกันในเรื่องรายได้ แต่ก็เชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือเกษตรกร ชาวไร่ชาวนา ด้วยการพยุงราคาสินค้าเกษตรแน่นอน
ส่วนการจับจ่ายใช้สอยผู้บริโภคที่คาดว่าจะลดลงในปีหน้านั้น มองว่าสินค้ากระเบื้องของบริษัทเน้นจำหน่ายในราคาถูก และถือสินค้าจำเป็นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศเป็นอันดับ 1 ที่ 32-33% จึงไม่น่าจะมีผลกระทบเท่าไร แต่บริษัทก็จะยังคงกำลังผลิตไว้เท่าเดิมเพราะขณะนี้หลายโรงงานปิดเตาไปมากแล้ว เพราะมองภาพรวมเศรษฐกิจจะแย่กว่าปีนี้
นายชนะ กล่าวถึงราคาหุ้นที่ปรับลดลงมากในขณะนี้ว่า ราคาหุ้นที่ปรับลงเป็นภาวะที่ผิดปกติ เพราะปกติราคาอยู่ที่ 16-17 บาท แต่ขณะนี้เหลือเพียง 7-8 บาท และไม่เคยลงต่ำกว่า 10 บาทในรอบหลายปีที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะต่างชาติตื่นตระหนกต้องการขายหุ้นนำเงินกลับออกไป ถือป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปซื้อเพื่อรอรับเงินปันผลที่จะได้ทุกไตรมาส เพราะบริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินลดลงและดอกเบี้ยก็จ่ายน้อยลง
"สำหรับคนที่ถืออยู่เป็นหุ้นปันผลที่ดีมาก ผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงก์ และตอนนี้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะลงด้วย ซื้อตอนนี้ยิ่งดีถ้าราคา 7-8 บาท น่าจะคุ้มมาก" นายชนะ กล่าว
ส่วนการซื้อหุ้นคืนที่หลายบริษัทได้ดำเนินการไปแล้วนั้น ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผน ซึ่งก็แล้วที่ประชุมคณะกรรมการจะหยิบยกมาพิจารณาหรือไม่อย่างไร