SPPT ทบทวนแผนงานรับมือวิกฤติโลกหลังเห็นสัญญาณออร์เดอร์หดตั้งแต่ Q1/52

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 29, 2008 14:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซิงเกิ้ลพอยท์พาร์ท(SPPT)ชะลอแผนลงทุนเพิ่มเครื่องจักรขยายสายการผลิตฮาร์ดดิสก์ หลังประเมินภาพปี 52 เหนื่อยแน่จากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยสัญญาณที่เห็นในขณะนี้ยอดคำสั่งซื้อมีแนวโน้มหดตัวราว 20% ตั้งแต่ต้นปี หวังพึ่งรายได้จากสินค้านอน-ฮาร์ดดิสก์ที่ยังเติบโตได้ดีเข้ามาชดเชย และธูรกิจแปรรูปขยะเป็นน้ำมันที่น่าจะเริ่มทำกำไรได้ พร้อมเดินหน้าแผนดันธุรกิจกลุ่มนอน-ฮาร์ดดิสก์ในเครือเข้าตลาดหุ้นในปีหน้า

นายสืบตระกูล บินเทพ กรรมการบริหาร SPPT กล่าวว่า บริษัทจะประเมินสถานการณ์ในปีหน้าอีกครั้ง หลังจากคาดว่ารายได้ในปี 51 อาจพลาดเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากขณะนี้ลูกค้าชะลอการซื้อสินค้าอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐและลุกลามมายังทวีปยุโรป ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว

"เริ่มเห็นตัวเลขที่เบื้องต้นคำสั่งซื้อจะหายไปประมาณ 20% จากลูกค้ารายใหญ่อย่าง JVC ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่คิดเป็น 60% ของรายได้และ NIKON ที่คิดเป็น 60% ของรายได้ แต่ทั้งปี 2552 จะติดลบเท่าไรยังไม่สามารถประมาณสถานการณ์ได้เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆยังคงไม่มีความชัดเจน อาจเป็นเพียงความตื่นตระหนกในระยะสั้นเท่านั้น" นายสืบตระกูล กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้จะทำรายได้ราว 800 ล้านบาท จากเป้าหมาย 1 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม รายได้ก็คงจะสูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 700 ล้านบาท

ผู้บริหาร SPPT กล่าวยอมรับว่า ในปี 52 จะเป็นปีที่เหนื่อยแน่นอน เพราะอาจเห็นคำสั่งซื้อติดลบราว 20% ตั้งแต่ไตรมาส 1/52 และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าสภาพทั้งปีจะเป็นอย่างไร เพราะสถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่บริษัทได้มีการ review แผนงานใหม่เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเน้นใช้ความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ

จากการทบทวนสถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า ทำให้บริษัทตัดสินใจชะลอแผนลงทุนเพิ่มเครื่องจักรในธุรกิจผลิตฮาร์ดดิส คงเหลือเพียงการลงทุนในธุรกิจนอน-ฮาร์ดดิสก์ที่ลงทุนประมาณ 20-30 ล้านบาท เพราะยังสามารถเติบโตได้ดี

นอกจากนั้น บริษัทยังคงแผนนำกลุ่มบริษัทนอน-ฮาร์ดดิสก์ 7 แห่ง ด้วยการปรับโครงสร้างและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 52 ซึ่งคาดว่าบริษัท SPECIALTY TECH Corporation ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ใส่อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์จะเป็นแกนนำในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัททั้ง 7 แห่ง มีรายได้รวมกันกว่า 1.2 พันล้านบาทในปี 2551

นายสืบตระกูล กล่าวถึงธุรกิจจำหน่ายเครื่องแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันดิบว่า ภายใต้บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เอนเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ จำกัดว่า ในปี 52 คาดว่าธุรกิจนี้จะสามารถขายเครื่องจักรเพิ่มได้อีก 5-6 เครื่องและจะเป็นปีแรกที่สามารถทำกำไรได้หลังดำเนินการมา 2 ปี

ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทได้จำหน่ายเครื่องจักรดังกล่าว 2 เครื่อง คือขายให้กับเทศบาลหัวหินและระยอง ซึ่งสร้างรายได้แก่บริษัททั้งจากการจำหน่ายเครื่องและการบริหารจัดการ รวมทั้งส่วนแบ่งรายได้จากการขายน้ำมันที่เป็นผลผลิตให้กับ บมจ.ปตท.และ บมจ.บางจากปิโตรเลียม ที่มีบันทึกความร่วมมือระหว่างกันแล้ว ซึ่งเครื่องแปรรูปขยะพลาสติกมาเป็นน้ำมันสามารถผลิตน้ำมันได้ประมาณ 4,500-6,500 ลิตรต่อปริมาณขยะ 6-10 ตันต่อวัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ