บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์(TTA)พลิกวิกฤติเป็นโอกาสที่บริษัทมีฐานเงินทุนแข็งแรง เล็งศึกษาช่องทางลงทุนสินทรัพย์ราคาต่ำ และเดินหน้าโครงการใหม่อย่างรอบคอบ เพราะมีเงินสดในมือกว่า 1 หมื่นล้านบาทและหนี้สินต่อทุนต่ำมาก ที่ 0.27 เท่า ปีหน้าสั่งต่อเรือใหม่ไว้แล้ว 5 ลำ และของเมอร์เมดอีก 3 ลำ รวมเป็นเงินราว 346 ล้านเหรียญสหรัฐ ทยอยจ่ายใน 2-3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ยังไม่ต้ดสินใจขายเรือเก่า 5 ลำ อายุ 25 ปี ขอรอดูค่าซ่อมก่อน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับสภาพ งวดปีหน้า (ต.ค.51- ก.ย.52) ธุรกิจเดินเรือตกต่ำ คาดอัตราค่าระวางเรือลดลงกว่า 50% จากงวดปี 51 ที่คาดเฉลี่ยสูงกว่า 2 หมื่นเหรียญ/วัน/ลำ เป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ดัชนีระวางเรือ BDI ได้ปรับลดลงกว่า 80% แล้ว แต่งวดปี 51 ผลประกอบการยังจะออกมาดีเป็นประวัติการณ์ และเชื่อปี 53 ธุรกิจเดินเรือมีโอกาสฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ผู้บริหารบริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนขณะนี้ แม้ราคาหุ้นจะรูดต่ำลงมาก
*ถิอเงินสดมาก-หนี้สินค่ำ เป็นจังหวะซื้อของถูก-ทำโครงการใหม่
น.ส.นุช กัลยาวงศา กรรมการ และ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน TTA กล่าวว่า ขณะนี้สถานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งมาก โดยมีเงินสดอยู่กว่า 1 หมื่นล้านบาท และมีหนี้สินต่อทุนที่ระดับ 0.27 เท่า ซึ่งต่ำมาก รวมทั้งบริษัทได้ขอวงเงินสินเชื่อเผื่อไว้บ้างแล้วในปีหน้า บริษัทจึงยังมีความสามารถลงทุนในโครงการใหม่ๆได้อีกมาก โดยขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่ เน้นพิจารณาด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างรอบคอบ
"การที่บริษัทมีเงินสดมากและหนี้สินต่ำ ก็จะเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อทรัพย์สินซึ่งราคากำลังลดต่ำลงอยู่ในขณะนี้ เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต" น.ส.นุช ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"
อย่างไรก็ตาม ในแผนงานของบริษัทที่กำหนดไว้ ในปีหน้ายังมีการสั่งต่อเรือใหม่ 5 ลำ รวมราคา 157.4 ล้านเหรียญสหรัฐ จ่ายไปแล้ว 31.44 เหรียญสหรัฐ ที่เหลือทยอยจ่ายใน 3 ปี ส่วนของบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ ต่อเรือใหม่ 2 ลำ สร้างแท่นขุดเจาะ 1 ลำ รวมเป็นเงิน 189.79 ล้านเหรียญสหรัฐ จ่ายแล้ว 54.99 เหรียญสหรัฐ ที่เหลือทยอยจ่ายภายใน 2 ปี
ส่วนเรือที่จะครบอายุ 25 ปีในปี 52 จำนวน 5 ลำ บริษัทจะขายออกไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับภาวะตลาดว่าค่าระวางจะดีหรือไม่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายเข้าอู่แห้งตามกำหนดว่าจะคุ้มกับรายรับในอนาคตหรือไม่ ซึ่งปกติเรือที่ต้องเข้าอู่แห้งซ่อมใหญ่จะเข้าทุก 2.5 ปี ดังนั้นเมื่อเรือครบอายุ 25 ปี ซึ่งก็ต้องเข้าอู่แห้งเช่นกัน
"คือการคำนวณเปรียบเทียบว่าถ้าเราต้องลงทุนซ่อมเรือในวันนี้ เราจะต้องจ่ายค่าซ่อมเท่าไร แล้วจะได้รายได้และกำไรในอีก 2.5 ปีข้างหน้าเท่าไร ดีกว่าการขายวันนี้แล้วได้เงินสดเลยหรือไม่ แล้วจึงตัดสินใจว่าจะขายหรือซ่อมดี ซึ่งปกติ เราจะทำตอนใกล้เข้าซ่อมสัก 2-3 เดือน เท่าที่ผ่านมาเราจะใช้เรือไปจนถึง 27.5 ปีโดยเฉลี่ย"น.ส.นุช ระบุ
*ปี 51 ผลประกอบการดีสุดเป็นประวัติการณ์-ปี 52 คาดค่าระวางตกลงครึ่งหนึ่ง รับผลศก.โลกถดถอย
น.ส.นุช คาดว่า กำไรสุทธิปี 51(สิ้นสุด ก.ย.)จะสูงกว่าปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 4,968.5 ล้านบาท โดยมีธุรกิจจาก บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์(MML)ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 57% ดำเนินธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง และให้บริการเรือขุดเจาะน้ำมัน น่าจะทำกำไร เป็นสัดส่วน 18%
"ปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทรายงานผลประกอบการสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา" น.ส.นุช กล่าว
ในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 6,720 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 3,811.5 ล้านบาท โดยมีอัตราค่าระวางเรือในไตรมาส 3/51 (สิ้นสุด มิ.ย.) เป็น 26,230 เหรียญ/วัน/ลำ
แต่ในงวดปี 52 อัตราค่าระวางเรือน่าจะลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับงวดปี 51 ที่บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยสูงกว่า 2 หมื่นเหรียญ/วัน/ลำ เนื่องจากความต้องการของโลกลดลงที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งขณะนี้ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ลดลดงไปกว่า 80% แล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัททำสัญญาให้เช่าระยะยาวและสัญญาขนส่งสินค้าล่วงหน้าไปแล้ว 25% ของกำลังบรรทุก รวมทั้งบริษัทยังคงมีนโยบายเดินเรือแบบประจำเส้นทาง ซึ่งจะมีลูกค้าขาประจำสม่ำเสมอ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ของกำลังบรรทุก
วานนี้ ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ปิดที่ 982 จุด ลดลง 66 จุด (-6.29%) จากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 11,793 จุด เมื่อ 20 พ.ค.51
"ในปีหน้านั้น บริษัทคงต้องถูกกระทบจากปัจจัยด้านลบเช่นเดียวกับ Sector อื่นๆ เพราะ demand ของโลกลดลง เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยทั่วไป ขณะนี้ดัชนี BDI ลดลงถึงกว่า 80% ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติมาก การประมาณการใดๆจึงเป็นเรื่องยากมาก แต่เท่าที่ดูคร่าวๆและตรวจสอบกับตลาดทั่วไป ค่าระวางน่าจะต้องต่ำกว่า 50%เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว" น.ส.นุช กล่าว
ผู้บริหารคนเดิม กล่าวยอมรับสถานการณ์ขณะนี้พยากรณ์ยากมาก บริษัทได้ดำเนินการดูแลค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด สำรองเงินสดไว้ให้มาก เพื่อที่จะได้แน่ใจว่าบริษัทสามารถผ่านช่วงวิกฤตการณ์นี้ไปได้ เนื่องจากการกู้เงินธนาคารในขณะนี้และในปีหน้าจะมีความเข้มงวดอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าสถานการณ์ธุรกิจเดินเรือจะดีขึ้นในราวปลายปี 53 ธุรกิจเดินเรือมีความเกี่ยวข้องเศรษฐกิจโลกอย่างมาก จึงคาดว่าน่าจะฟื้นไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
นอกจากนี้ธุรกิจเดินเรือ ยังมีกลุ่มบริษัทเมอร์เมดที่ให้บริการสนับสนุนธุรกิจขุดเจาะน้ำมันและแก๊สนอกชายฝั่งโดยตั้งแต่ เม.ย. 51 สามารถทำกำไรให้กับกลุ่มบริษัทได้มากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ สามารถชดเชยกำไรที่หดหายไปในธุรกิจเดินเรือส่วนหนึ่ง เพราะธุรกิจของเมอร์เมดไม่ด้รับผลกระทบจากภาวะปัจจุบัน หรือกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจเดินเรือ
และในปลายปี 52 เรือที่สั่งต่อใหม่ของเมอร์เมด และแท่นขุดเจาะก็จะสร้างเสร็จ ก็จะสามารถสร้างรายไห้กับบริษัทเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรของเมอร์เมดจะได้รับเต็มที่ในปี 53 เป็นต้นไป
*ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนแม้ราคาหุ้นร่วงหนักจากแรงขายตปท.
ผู้บริหาร TTA กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น TTA ปรับตัวลงไปมาก เป็นไปตามแรงขายของตลาด ที่เกิดจากวิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ เช่น กองทุนต่างๆ สถาบันการเงิน ต้องรีบขายหุ้นที่ถือหุ้นอยู่ทั่วโลก และเร่งนำเงินสดกลับประเทศตัวเอง เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ตัวเอง จะเห็นว่าหุ้นตกอย่างหนักทั่วโลก และคิดว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นที่สหรัฐ และ ยุโรป ค่อนข้างหนักมาก
"ณ ขณะนี้ ดิฉันยังไม่ได้ข่าวเรื่องการซื้อหุ้นคืนจากกรรมการผู้จัดการแต่อย่างใด" น.ส.นุช กล่าว
รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่าเมื่อ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ได้ลดการลงทุนเหลือสัดส่วน 13.92% จากที่เคยลงทุนถึง 25.34% ในเดือนเม.ย.51
ราคาหุ้น TTA ได้ปรับลงต่ำสุดที่ระดับ 9.80 บาท เมื่อ 27 ต.ค.ทีผ่านมา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่เคยทำราคาระดับสูงสุดที่ 70 บาทเมื่อเดือนต.ค.ปี 50
เช้านี้ ราคา TTA ล่าสุดอยู่ที่ 10.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.55 บาท (+5.58%) เมื่อเวลา 11.09 น.