ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 ต.ค.) ขานรับธนาคารกลางทั่วโลกที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวและยับยั้งวิกฤตการณ์ด้านการเงิน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 49.11 จุด หรือ 1.2% แตะที่ 4,291.65 จุด
ฟรังโคส์ ซาวารี นักวิเคราะห์จากบริษัท Reyl & Cie กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนคึกคักขึ้นหลังจากเฟดมีมติลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 1.00% โดยมีเป้าหมายสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ลงอย่างละ 0.27% ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่สามในรอบสองเดือน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนลง 0.50% สู่ระดับ 1.50% และธนาคารกลางไต้หวันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.25% สู่ระดับ 3.00% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน
ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายวันศุกร์ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษก็อาจจะลดดอกเบี้ยเช่นกัน
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ดีดตัวขึ้น 4.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า กำไรไตรมาสสามของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น 22% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่แพงขึ้น ซึ่งช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการลดการผลิตในไนจีเรียและอ่าวเม็กซิโก
เชลล์ระบุในแถลงการณ์ว่า กำไรของบริษัทได้รับปัจจัยสนับสนุนมาจากราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147.27 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2551 ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงกว่า 50% นับจากนั้น ขณะที่ การโจมตีของกลุ่มกบฏในไนจีเรีย ตลอดจนพายุเฮอริเคนกุสตาฟและไอค์ที่พัดถล่มอ่าวเม็กซิโก ส่งผลให้เชลล์ต้องตัดสินใจปิดแท่นผลิตน้ำมันและก๊าซในบริเวณดังกล่าว
ส่วนหุ้นแอสตราซิเนกาในกลุ่มเวชภัณฑ์ พุ่งขึ้น 5.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ดีดขึ้น 28%