ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อเก็งกำไรในตลาด หลังจากที่ได้กระหน่ำเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักจนทำให้บรรยากาศการซื้อขายตลอดทั้งเดือนตุลาคมเลวร้ายที่สุดในรอบ 21 ปี
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 144.32 จุด หรือ 1.57% แตะที่ 9,325.01 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 14.66 จุด หรือ 1.54% แตะที่ 968.75 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 22.43 จุด หรือ 1.32% แตะที่ 1,720.95 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.57 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 2 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.54 พันล้านหุ้น
โดยในสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 11.3% ซึ่งเป็นระดับการซื้อขายรายสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบ 34 ปี และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพหลังจากรัฐบาลใช้มาตรการคลายความตึงตัวในตลาดสินเชื่อที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้ และในช่วงสัปดาห์หน้า ตลาดจะจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐและตัวเลขการจ้างงานที่มีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์หน้าซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจทรุดตัวลงยาวนานแค่ไหนและรุนแรงเพียงใด
เคร็ก เพกแฮม นักวิเคราะห์จาก Jefferies & Co. กล่าวว่า นักลงทุนเข้าถือครองหุ้นก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งและก่อนที่กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่านักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เมื่อคืนนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง 0.3% ตามคาดเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2547 ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสาขาชิคาโก้ ซึ่งใช้เป็นมาตรวัดกิจกรรมการผลิตร่วงลงสู่ระดับ 37.8 จุด ซึ่งเลวร้ายกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 48.0 จุด ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเคลื่อนไหวที่ 57.6 จุด ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อยที่ระดับ 57.5 จุด
ด้านควินซีย์ ครอสบีย์ นักวิเคราะห์จากเดอะฮาร์ทฟอร์ดกล่าวว่า "ในเดือนนี้ถือเป็นช่วงที่ตลาดดำดิ่งลงเพื่อหาจุดต่ำสุดที่จะเป็นฐานให้ดัชนีดีดตัวกลับขึ้นมาสู่แดนบวก แต่นั่นมิได้หมายความว่าตลาดจะกลับมาคึกคักอย่างต่อเนื่องเพราะโดยภาพรวมแล้วดัชนีจะยังคงแกว่งตัวผันผวนในช่วงที่เศรษฐกิจแวดล้อมไปด้วยความเสี่ยงเช่นนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะพุ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้นนำตลาดปิดในแดนบวกท่ามกลางการส่งคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างคึกคักหลังจากที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มดังกล่าวร่วงลงอยู่แดนลบตั้งแต่ต้นเดือนท่ามกลางความหวั่นวิตกต่อผลกระทบของตลาดสินเชื่อที่ตึงตัว
หุ้นเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ปิดเดินหน้าขึ้น 9.7% ขณะที่ในส่วนของหุ้นยูเนียน แปซิฟิก คอร์ป ทะยานขึ้น 4.9% และหุ้นเจ.ซี. เพนนี โค ถีบตัวสูงขึ้น 11.3%