(เพิ่มเติม) SNCเร่งเคลียร์ออร์เดอร์ลูกค้าก่อนต้นปี 52ดันรายได้โต หลังปีนี้พลาดเป้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 3, 2008 12:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) ยอมรับปีนี้ยอดขายและกำไรพลาดเป้า เนื่องธุรกิจต้นน้ำที่ต้องเลื่อนออกไป เร่งเคลียร์สต็อกเก่ากับลูกค้า-ปิดดีลเจรจารับออร์เดอร์ลูกค้าอินเดียที่เลื่อนไปจากปลายปีนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปีหน้า เงื้อลงทุนราว 300 ล้านบาทซื้อเครื่องจักรใหม่หากออร์เดอร์พุ่งตั้งแต่ต้นปี 52 ขณะที่จังหวะนี้นำเงินในมือซื้อหุ้นคืน 175 ล้านบาท เล็งขายทั้งล็อตให้พันธมิตรใหม่

นายสมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธานกรรมการบริหาร SNC กล่าวว่า รายได้ในปี 51 น่าจะเติบโตได้ราว 60% มากที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโตได้ถึง 100% ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไร 206 ล้านบาท ลดลงจากที่คาดวาจะโตถึง 50% เนื่องจากโครงการต้นน้ำเลื่อนออกไปและผลกระทบจากธุรกิจลูกค้าเอกชนชะลอการสั่งซื้อ

อนึ่ง ช่วง 9 เดือนแรกบริษัทมียอดขาย 3.2 พันล้านบาท กำไร 135 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/51 บริษัทคาดว่าจะทำยอดขายเติบโตได้มากกว่า 60% โดยหวังว่าจะสามารถสรุปการเจรจากับลูกค้าในการรับออร์เดอร์เพิ่ม

"แนวคิดของผมต้องไม่ขาดทุน ถ้าไม่โตก็ต้องเสมอตัว ในไตรมาส 4 นี้ผมคิดว่ายังทำยอดขายได้กว่า 1 พันล้านบาท ผมยังมีเวลาอีก 2 เดือน"นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า ปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้น ทำให้อัตรากำไรสุทธิปีนี้ลดลงมาที่ 4% จากระดับ 7.6% ในปี 50 หลังจากโครงการธุรกิจต้นน้ำต้องเลื่อนอออกไป เพราะลูกค้า OEM ของบริษัทยังคงเคลียร์ออร์เดอร์กับซัพพลายเออร์เก่าไม่เสร็จ

แต่คาดว่าในไตรมาส 4/51 ออร์เดอร์โครงการต้นน้ำจะเข้ามามากขึ้นทั้งที่ระยองและแหลมฉบัง โดยโรงงานที่ระยองคาดว่าถึงสิ้นปีนี้งานเฉลี่ยทั้งหมดจะเริ่มได้ 44% ส่วนที่แหลมฉบังคาดว่างานจะเริ่มได้ 36%

นายสมชัย กล่าวว่า บริษัทจะเร่งการเจรจากับลูกค้าที่มีปัญหากับสต็อกเก่าไตรมาส 4/51 นี้ เพื่อให้มีออร์เดอร์เข้ามาในไตรมาส 1/52 ซึ่งเชื่อว่าออร์เดอร์นี้จะเข้ามาสูงมาก หากเคลียร์สต็อกได้หมด ซึ่งปัญหาหลักที่ยังเคลียร์สต็อกไม่ได้ เพราะลูกค้าต้องการซื้อในราคา ณ ต้นทุนปัจจุบันที่ลดลงจากค่าระวางและราคาน้ำมันลดลง แต่สต็อกเดิมเห็นต้นทุนเก่า ซึ่งบริษัทก็พยายามเข้าไปพบผู้บริหารของลูกค้าเพื่อเจรจาในเรื่องนี้

ในไตรมาส 4/51 ยอดออร์เดอร์ของลูกค้าจะชะลอตัวกว่า 10% ทั้งในส่วนของแอร์บ้านและชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าหลักของบริษัทได้แก่ โตโยต้า นิสสัน อีซูซุ และไดกิ้น ได้ชะลอออร์เดอร์ไปแล้ว แต่หากตกลงกันได้ออร์เดอร์ในส่วนนี้ก็จะกลับเข้ามาในปีหน้า

"ถ้าลูกค้าเคลียร์สต็อกได้ กำลังซื้อก็จะมา แต่กว่าเราจะผลิตก็เป็นไตรมาส 1 ปีหน้า ก็เชื่อว่าไตรมาส 1 เราจะมีรายได้ขึ้นสูง"นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ในปี 52 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ 40% โดยจะมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 6-7% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจาก OEM โดยในปีหน้าก็ยังรักษาสัดส่วนรายได้ของ OEM ที่ 70% เท่ากับปีนี้ ลูกค้าหลักคือ ฟูจิสึ กับ แอลจี โดยถึงแม้จะคาดว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ธุรกิจแอร์ก็น่าจะยังไปได้ เพราะความต้องการยังมีอีกมาก เพราะปัจจุบันแอร์บ้านกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิต

อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจแย่สุด ทำให้ OEM ไม่มีการสั่งซื้อเข้ามา บริษัทก็ยังมีทางออกในการขายโรงงานและที่ดิน พร้อมทั้งเครื่องจักรทั้งหมดที่ซื้อมาจากยอร์ก คาดว่าจะทำกำไรให้กับบริษัทได้ เพราะซื้อมาในราคาค่อนข้างถูก แต่หวังว่าจะไม่เกิดเช่นนั้น เพราะโครงการต้นน้ำที่ลงไป 2 โรงงาน ก็คาดว่าจะได้คืนทุนประมาณ 4-5 ปีนี้ โดยทั้งสองโรงงานได้ลงทุนแล้ว 500 ล้านบาท

และมองว่าหากในไตรมาส 1/52 มีสัญญาณที่ดีมีออร์เดอร์เข้ามามาก บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าไปลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 300 ล้านบาทเพื่อรองรับออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นก็จะลงทุนเพียง 50-60 ล้านบาทใช้สำหรับปรับปรุงเครื่องจักรเดิมเท่านั้น

นายสมชัย กล่าวถึงการเจรจาออร์เดอร์กับลูกค้าในอินเดียราว 200 ล้านบาทว่า ต้องเลื่อนจากไตรมาส 4/51 เนื่องจากค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงไปกว่า 10% เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อปรับเปลี่ยนมาซื้อขายกันด้วยเงินสกุลอื่น ซึ่งอาจจะเป็นเงินรูปีหรือเงินยูโรแทน หรือหากไม่ได้ ก็อาจเสนอขายเป็นชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศที่จะส่งไปในกรอบ FTA เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี คาดว่าน่าจะสรุปได้ภายในไตรมาส 1/52

นายสมชัย กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัทซื้อหุ้นคืนภายในวงเงินไม่เกิน 175 ล้านบาท หรือไม่เกิน 30 ล้านหุ้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.51 คาดว่าจะช่วยทำให้กำไรของบริษัทดีขึ้น โดยบริษัทมีแนวคิดว่าหุ้นที่ซื้อกลับคืนมาคงยากที่จะนำไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะอาจส่งผลกระทบกับราคาหุ้นในตลาด จึงอาจขายบิ๊กล็อตให้พันธมิตรใหม่ หรือกองทุนเข้ามาถือ

"ที่เราซื้อมา 4-5 บาทต่อหุ้น และเราขายไป 6-7 บาท มีกำไร 2-3 บาทเราก็ขายแล้ว แต่เราคงขายเป็นบิ๊กล็อต เราอยากขายให้กับ Strategic Partner มากกว่า แต่ถ้ากองทุนจะเข้ามาซื้อก็ได้"นายสมชัย กล่าว

ผู้บริหาร SNC กล่าวว่า แม้ปีนี้กำไรสุทธิของบริษัทจะไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังน่าจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในครึ่งปีหลังเท่ากับครึ่งปีแรกที่จ่ายไป 0.30 บาท/หุ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทมีกำไรสะสมประมาณ 200 กว่าล้านบาท ซึ่งบริษัทนำเงินไปในโครงการซื้อหุ้นคืน 175 ล้านบาท ก็จะเหลือเงินประมาณ 40-50 ล้านบาท โดยอาจใช้เงินจากกำไรปกติหรือกระแสเงินสดเข้ามาสมทบ

ปัจจุบัน SNC มีกระแสเงินสด 866 ล้านบาท ขณะที่วงเงินกู้ของบริษัทเหลืออยู่ 1.8-2.0 พันล้านบาท หรือมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 0.8 เท่า ซึ่งก็ยังถือว่ายังมีหนี้ในระดับต่ำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ