รอ.กรี เดชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทตั้งเป้าทำรายได้ 5 พันล้านบาท จากปี 51 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 4 พันล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ 6 พันล้านบาท จากปีนี้มียอดขาย 5 พันล้านบาท
สำหรับแผนธุรกิจในปี 52 บริษัทจะเปิดโครงการแนวราบทั้งหมด 12 โครงการ รวมมูลค่า 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 1.6 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการเดิมที่ขยายเฟสใหม่ โดยโครงการส่วนใหญ่มีที่ดินพร้อมพัฒนาอยู่แล้ว แต่บริษัทจะปรับขนาดโครงการแต่ละแห่งให้มีมูลค่าเล็กลงเหลือ 800-1,000 ล้านบาท จากเดิม 1,500-2,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อาจชะลอตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมงบลงทุนไว้ใช้ซื้อที่ดินในปีหน้าประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อเก็บไว้ใช้พัฒนาโครงการใหม่ในปี 53 จากปีนี้ที่ใช้งบซื้อที่ดินไปราว 1,000 ล้านบาท
ร.อ.กรี กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมแนวทางระดมทุนเพื่อมาใช้พัฒนาโครงการแนวราบตามแผนงาน และสร้างอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มเติมอีกนอกเหนือจากตึกชินวัตร 1-3 เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 25% ของรายได้ โดยอาจเลือกแนวทางการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใหม่ หรือการออกหุ้นกุ้ อายุ 5 ปี ซึ่งจะได้ข้อสรุปในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าภายใต้สถานการณ์อย่างนี้การออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์น่าจะดีกว่าหุ้นกู้
"ปีหน้าแต่ละแห่งคงจะมีความระมัดระวังในการดูแลตัวเอง หรือรักษาตัวเองให้ยั้งโตได้ ถึงแม้ผมจะมองว่า ปีหน้ายอดขายโดยรวมยังเติบโต แต่เป็นอัตราโตที่ลดลลงที่ 15% จากปีนี้ที่โต 20% ซึ่งการที่เราเตรียมการระดมทุนไว้ไม่ว่าจะเป็นการออกกองทุนอสังริมทรัพย์ใหม่ หรือออกหุ้นกู้ ทำให้เรามีเงินทุนเพียงพอ และยังเป็นการบริหารพอร์ตของบริษัท ส่วนจะเลือกแนวทางไหนคงจะต้องดูสถานการณ์ควบคู่ไปด้วย จากปัจจุบันใช้เงินกู้จากธนาคาร 80%" รอ.กรี กล่าว
ร.อ.กรี กล่าวยอมรับว่า จากวิกฤติทางการเงินของโลกและปัญหาการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าของบริษัทที่ยื่นคำขอกู้จากธนาคารไม่ผ่านการพิจารณาเพิ่มขึ้นเป็น 28% ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากระดับปกติอยู่ที่ประมาณ 15-20% ถือว่าเป็นสัญญาณที่น่ากลัวต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
จากปัญหาดังกล่าว บริษัทได้มีการหารือกับแบงก์ที่ปล่อยกู้เพื่อเจรจาให้ช่วยลูกค้า เช่น การหาผู้กู้ร่วม เพราะต้องยอมรับว่าในภาวะการณ์ตอนนี้ ธนาคารส่วนใหญ่มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และจากความเข้มงวดอาจทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กอาจจะประสบภาวะยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม ในส่วน SC ได้รับผลกระทบเล็กน้อย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อบ้านในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังเขื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีอยู่ และจะเห็นผู้ประกอบการแต่ละรายอัดแคมเปญ่เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดย 9 เดือนแรก SC มียอดชายแล้ว 4.0-4.5 พันล้านบาท จึงเชื่อว่าทั้งปีทำได้ตามเป้าที่วางไว้ 5 พันล้านบาท