LANNA คาดปีนี้กำไรสูงขึ้นแม้เหมือง 3 เปิดไม่ทันธ.ค./ห่วงศก.ทรุดกระทบปี 52

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 4, 2008 10:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการบริหาร บมจ.ลานนารีซอสเซส(LANNA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การเปิดเหมืองแห่งที่ 3 ในอินโดนีเซียคงจะต้องเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 52 จากเดิมหวังว่าจะเปิดในไตรมาส 4/51 เนื่องจากมีปัญหาฝนตกหนัก แต่ก็ยังเชื่อว่ารายได้และกำไรในปีนี้ยังจะออกมาไม่ต่ำกว่าปีก่อน แม้ว่าเหมืองแห่งที่ 2 ต้องถูกปิดและเหมืองแห่งที่ 3 เริ่มผลิตล่าช้า

ส่วนในปีหน้า ยอมรับว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้ได้เท่ากับปีนี้ เพราะผลพวงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้แนวโน้มผู้ผลิตปูนซิเมนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง อาจต้องลดกำลังผลิตลง รวมทั้งผู้ใช้รายย่อยก็อาจได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจด้วย ขณะที่ปริมาณถ่านหินยังสามารถรักษาไว้ได้ที่ 3.0-3.2 ล้านตัน

นานอนันต์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทกำลังประเมินว่าจะสามารถเปิดเหมืองได้ในเดือนธ.ค.นี้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็คงต้องเลื่อนไปเป็นต้นปี 52 ขณะที่เครื่องจักรพร้อมหมดแล้ว เรื่องเงินทุนไม่มีปัญหา ใบอนุญาตมีเรียบร้อย อยู่ในช่วงเปิดหน้าดินเพื่อขุดถ่านหินออกมาเท่านั้น โดยเหมืองแห่งนี้มีการทำสัญญาขายล่วงหน้าไปแล้วประมาณ 1-2 ลำ หรือปริมาณกว่า 1 แสนตัน

"ตอนนี้อยู่ในช่วงเปิดดินเอาถ่านไปส่งไปเข้าเครื่อง เรามีการขายถ่านล่วงหน้าถึงมีความเชื่อมั่นว่าจะเปิดได้ ตอนนี้ยังติดปัญหาเรื่องฝน แต่คงไม่ยืดยาวอีกนาน เพราะเราก็ต้องเร่งให้ทันปีนี้หรืออย่างช้าก็ต้นปีหน้า ของพวกนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องอธิบายลูกค้าว่าเป็นเหตุสุดวิสัย"นายอนันต์ กล่าว

ส่วนแหล่งที่ 2 ถูกปิดไปโดยคำสั่งศาล ตอนนี้กำลังพิจารณาว่าอาจจะเลิกกิจการบริษัทไป หรืออาจใช้บริษัทนี้ทำธุรกิจเทรดดิ้งหรือรับจ้าง หรือหากทางผู้ร่วมทุนสนใจนำไปประกอบธุรกิจด้านอื่นที่บริษัทไม่ถนัด ก็พร้อมขายหุ้นให้ โดยบริษัทดังกล่าวมีทุนจดทะเบียนราว 4 ล้านบาท

*รายได้-กำไรสุทธิปีนี้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว

นายอนันต์ กล่าวว่า แม้การผลิตของเหมืองแห่งใหม่จะมีอุปสรรค แต่ก็เชื่อว่ายอดขายถ่านหินโดยรวมในปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 6,000 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน โดยปริมาณผลผลิตที่ลดลงได้รับการชดเชยด้วยราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงต้นปี จึงเชื่อมั่นว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าในงวด 9 เดือนแรกของปี 51 กำไรสุทธิของเครือ LANNA น่าจะสูงกว่ากำไรปีที่แล้ว(50)ทั้งปีที่มีกำไร 372 ล้านบาท เนื่องจากงวด 6 เดือนกำไรไปแล้ว 288 ล้านบาท

"โดยรวมทั้งปีก็น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว เพราะต้นปีมาด้วยดี 6 เดือนก็มาด้วยดีทั้งธุรกิจเอทานอลและธุรกิจถ่านหิน ปีนี้ถึงแม้ปลายปีจะเกิดถดถอยบ้างก็ไม่น่าจะฉุดทั้งปี ตัวเลขที่เคยบอกกับผู้ถือหุ้นว่าปีนี้เราจะสูงกว่า ตอนนี้ก็ยังค่อนข้างมั่นใจว่าผลการดำเนินจะสูงกว่า"นายอนันต์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/51 คาดว่าจะสูงกว่าไตรมาส 3/50 แต่จะไม่มากกว่าไตรมาส 2/51 เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกยังขายได้เฉลี่ยสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่ราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้นมาก แม้ตอนนี้จะลดลงบ้างมาที่เฉลี่ย 80-100 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ก็ยังถือว่าราคาถูกกว่าต้นทุนน้ำมันมาก รวมทั้งมีสัญญาที่ขายล่วงหน้าไว้ที่ราคาดัชนีอ้างอิงถ่านหินของอินโดนีเซีย(Indonesian Coal Index:ICI)

"ไตรมาส 3 จะเป็นตัวชี้บอกว่าปีนี้เราจะมีกำไรสุทธิมากกว่าปีที่แล้วเท่าไหร่"นานอนันต์ กล่าว

*ปีหน้าส่อแววหนีไม่พ้นผลกระทบศก.ชะลอตัว

นายอนันต์ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทพยายามรักษาระดับผลประกอบการให้ได้ใกล้เคียงกับปีนี้หรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพราะจากปัจจัยแวดล้อมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัว รวมทั้งแนวโน้มการลดกำลังการผลิตปูนซิเมนต์ ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศแน่นอน

แม้จะยังมีผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง บมจ.ปูนซิเมนต์นครหลวง(SCCC)ที่ใช้ถ่านหินปีละประมาณ 1 ล้านตัน แต่รายย่อยที่เคยใช้ในระดับ 6-7 แสนตัน ก็คงต้องลดลง ซึ่งบริษัทก็จะพยายามรักษายอดขายในส่วนนี้ไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 5 แสนตัน ขณะที่บริษัทจะพยายามรักษาระดับปริมาณถ่านหินไว้ที่ 3-3.2 ล้านตัน เป็นถ่านหินที่ผลิตจากเหมืองแห่งที่ 1 ราว 1.5 ล้านตัน เหมืองแห่งที่ 3 ราว 1 ล้านตัน และส่วนที่ซื้อเข้ามา 6-7 แสนตัน

"ปีหน้าพยายามรักษาระดับปีนี้หรือต่ำกว่าเล็กน้อยคงไม่พรวดพราดเหมือนที่อื่น ปีหน้าถ้ารักษาระดับเท่าปีนี้ได้ก็เก่งแล้ว...อย่างลูกค้ารายย่อยต่างๆ ปีนี้เราขายได้ประมาณ 6-7 แสนตัน ปีหน้าเราก็พยายามให้ได้ 5 แสนตัน อย่าให้ต่ำกว่าเยอะ ก็คืออยู่ในเกณฑ์ที่รักษาระดับไว้ให้ได้"นายอนันต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะขอยกเลิกคำสั่งซื้อถ่านหิน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง แต่อาจจะเข้ามาคุยกันว่าราคาเป็นอย่างไร

*มองทิศทางถ่านหินปีหน้าแกว่งตัวตามราคาน้ำมัน

นายอนันต์ กล่าวถึงทิศทางราคาถ่านหินในปีหน้าว่า ราคาถ่านหินก็เหมือนราคาน้ำมัน ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อคาดกันว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะถดถอย ภาคอุตสาหกรรมต่างๆลดการผลิต การใช้ถ่านหินต่างๆ ก็จะลดลง หากผลผลิตยังอยู่เท่าเดิม ราคาก็ต้องลดลง

"ขึ้นอยู่กับว่าปีหน้าเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ ลูกค้าเราจะไม่ยอมซื้อหรือเปล่า ถ้าไม่ผลิตหรือลดการผลิต ก็ไม่ใช้ถ่านหินเรื่องพวกนี้ยังน่าปวดหัวอยู่ ปีหน้ายิ่งภาวะเศรษฐกิจถดถอย น้ำมันลด โอเปกยังลดโควต้าเลย เราคงประมาณการอะไรมากไม่ได้"นายอนันต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเป้าหมายจะรักษาระดับถ่านหินไว้ที่ 3 ล้านตัน/ปี แต่เพื่อความไม่ประมาทบริษัทเองก็ต้องบริหารสต็อกให้มีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดทุนจากสต็อก โดยส่วนหนึ่งที่ต้องสั่งซื้อจากเหมืองอื่นต้องนำเข้าจากอินโดนีเซีย ไม่สามารถควบคุมราคาได้ เพราะราคาส่งออกจะต้องขึ้นกับดัชนีอ้างอิงถ่านหินของอินโดนีเซีย คือ Indonesian Coal Index (ICI) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,500-3,000 บาทต่อตันขึ้นไป

"Strategic ตอนนี้ราคาถ่านหินหวือหวาแบบนี้ก็ไม่ควรจะสต๊อกเยอะ โดยเฉพาะถ่านที่อยู่ในราคาระดับสูง ถ้าดูเทรนด์จะลงเข้าไปสต็อก พอราคาลดลงลูกค้าก็ต้องซื้อราคาตลาดเราก็จะไปติดกับดักสต็อกเราเอง" นายอนันต์ กล่าว

"ทุกคนก็ต้องปรับฐานเพราะยิ่งบางคนไปซื้อไว้ล่วงหน้าในราคาแพง เดี๋ยวถ่านลง เพราะช่วงนี้ราคาถ่านหินลง ใครที่ซื้อไว้เมื่อ 1-2 เดือนที่แล้วก็อาจจะขาดทุนได้ ถ้าในช่วงนี้ถ้าราคาเป็นอย่างนี้เราก็คงไม่สต็อกถ่านเยอะ ถ้าเป็นไปได้ถ้าขายในราคาที่สูงได้ก็จะทำ เพราะส่วนใหญ่ก็จะมี commitment ในราคาที่ยังสูงอยู่ ประกอบกับส่วนใหญ่บริษัทย่อยจะขายตรง" นายอนันต์ กล่าว

*ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนเหตุฟรีโฟลทต่ำ

นายอนันต์ กล่าวว่า แม้ราคาหุ้นลงมาเกิน 50% คงไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนเพราะฟรีโฟลทเราไม่มากพอ และมองว่าการซื้อหุ้นคืนไม่ได้ช่วยอะไร คงไม่สามารถไปช่วยพยุงราคาไว้ได้มากนัก

"ตอนนี้เราไม่มีนโยบายที่จะไปซื้อคืน ขณะที่ปันผลอยู่ในเกณ์ 60% ถือว่าเยอะแล้วเหลือ 40% ไว้ขยายงาน ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย...ไม่ก่อหนี้ได้ก็ดี"นายอนันต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงนโยบายจ่ายปันผลทุกปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ