บมจ. ไทยฟิล์มอินดัสตรี่(TFI)เล็งขยายตลาดส่งออกในปี 52 หลังเพิ่มกำลังผลิตอีก 15,000 ตัน/ปี เป็น 1.22 แสนตัน/ปี เผยครึ่งปีแรกผลงานดีกว่าปีที่ผ่านมาน่าพอใจ โดยสามารถมีกำไรสุทธิแล้ว 375.05 ล้านบาท จากทั้งปี 50 ขาดทุน 137.47 ล้านบาท ยังไม่กำหนดเวลาแน่นอนล้างขาดทุนสะสมที่มีไม่ถึง 500 ล้านบาทได้หมด แต่ยืนยันใช้วิธีล้างขาดทุนสะสมด้วยกำไรเพียงอย่างเดียว ขณะที่ปีหน้ายังชะลอลงทุนเพิ่มเพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกให้แน่นอนก่อน
นายวัลลภ คุณานุกรกุล กรรมการผู้จัดการ TFI เปิดเผยว่า ปี 52 มีแผนจะขยายตลาดส่งออกในประเทศแถบอเมริกาใต้ แอฟริกา ยุโรปตะวันออก ซึ่งปัจจุบัน TFI ส่งสินค้าไปจำหน่ายบ้างแล้วแต่จะขยายฐานตลาดให้กว้างขึ้น เนื่องจากตลาดเหล่านี้มีการเติบโตดี คู่แข่งน้อย
"พวกนี้เป็นตลาดดี ถ้าใครเข้าไปเจาะตลาดได้ก่อนจะเป็นเจ้าตลาด เพราะคนที่นั่นไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ชำนาญ เพราะถ้าปรับเปลี่ยนแล้วเกิดความเสียหายมันจะแก้ไขไม่ไหว เพราะฉะนั้นใครเข้าไปก่อนจะมีความได้เปรียบ โอกาสการเปลี่ยนแปลงมันมีน้อย"นายวัลลภ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
เมื่อช่วงปลายปี 50-ต้นปี 51 บริษัทเพิ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 122,000 ตัน/ปี จากเดิม 107,000 ตัน/ปี เพื่อรองรับการขยายตลาดส่งออก ส่วนปีหน้าจะไม่มีการลงทุนเพิ่ม เนื่องจากมองว่าในช่วงที่สถานการณ์โลกเป็นแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำ คือ Wait and See
"ตอนนั้นที่เราเพิ่มกำลังผลิตเพราะคิดว่าจะไม่พอขาย แต่ช่วงหลังความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ไม่รู้จะลุกลามขนาดไหน เพราะเป็นเรื่อง Macro ที่กระเทือนทั่วโลก"นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ กล่าวว่า เหตุที่หันมาเน้นตลาดส่งออก เนื่องจากความต้องการใช้สินค้าของบริษัทในต่างประเทศค่อนข้างสูง มีอัตราการเติบโตประมาณ 8% ต่อปี ส่วนตลาดในประเทศความต้องการใช้มีจำกัด โตแค่ปีละประมาณ 2-3% อีกทั้งตลาดต่างประเทศยังมีมาร์จิ้นสูงกว่า โดยอยูที่ประมาณ 20% แต่ตลาดในประเทศมีมาร์จิ้นต่ำกว่า
TFI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทบรรจุภัณฑ์จากเม็ดพลาสติก และฟิล์มบรรจุภัณฑ์ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงพิมพ์ โรงเคลือบกระดาษ ทำถุง ทำเทปกาว รวมถึงฉลากต่างๆ ปัจจุบันมีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ 55 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75% ของรายได้ทั้งหมด ที่เหลือเป็นตลาดในประเทศ และแนวโน้มปรับตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
*ผลงาน H1/51 ดีกว่าปีที่แล้วทั้งปี
นายวัลลภ กล่าวว่า ผลประกอบการในปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกทำรายได้รวม 3.5 พันล้านบาท และพลิกมีกำไรสุทธิ 375.05 ล้านบาท เทียบกับปี 50 ที่มีรายได้รวม 6 พันล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 137.47 ล้านบาท
สาเหตุหลักคือมาจากสถานการณ์ราคาน้ำมันและเม็ดพลาสติกที่ปรับสูงขึ้นในช่วงต้นปี ซึ่งบริษัทสามารถปรับราคาขายบี.โอ.พี.พี.ฟิล์ม ได้ตามผลกระทบที่ได้รับจากเม็ดพลาสติกพีพีได้ตามต้นทุนจริง แต่พอมาปลายปียอมรับว่าเจ็บตัวนิดหน่อย
"ยอมรับว่าปลายปีเจ็บตัวนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับเข้าเนื้อ เพราะเราปรับตัวตามราคาน้ำมันกับเม็ดพลาสติก ต้นปีและกลางปีดีมาก แต่ตอนนี้ราคาลงมาหน่อยนึง เพิ่งจะมาลงเอาตอน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับลงมา 50% แต่เราปรับลงมาประมาณครึ่งนึงของราคาน้ำมัน"นายวัลลภ กล่าว
ส่วนปี 52 ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ต้องรอดูว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีมากน้อยแค่ไหน แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราโตปีละประมาณ 20%
อย่างไรก็ตาม บริษัทวางกลยุทธ์การทำตลาดด้วยการจับตลาดสินค้าไฮเอนด์ และมีความเป็น Unique แทนที่สินค้าจากอเมริกาและยุโรปซึ่งปิดกิจการไปเพราะมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากกว่าเราหลายเท่า
"เดิมเราจับตลาดทั่วไป แต่เนื่องจากการแข่งขันสูงมาก เลยหันมาเจาะตลาดที่เป็นไฮเอนด์แทนสินค้าจากอเมริกาและยุโรป เพราะพวกนี้ต้นทุนการผลิตเค้าสูงมากกว่าเราหลายเท่า เลยต้องเลิกกิจการไป"นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ กล่าวถึงแผนการล้างขาดทุนสะสมว่า เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนงานของบริษัทอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมด้วยผลกำไร
"ขาดทุนสะสมจะหมดอยู่แล้ว มีไม่ถึง 500 ล้านบาท จะล้างขาดทุนสะสมด้วยกำไรอย่างเดียว"นายวัลลภ กล่าว