บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี(SAT)ยอมรับกังวลภาวะเศรษฐกิจปี 52 ส่อแววชะลอตัว อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการปีหน้าเติบโตต่ำกว่าปีนี้ที่โต 15% เตรียมหารือบอร์ด พ.ย.นี้วางแผนรับมือ แต่เบื้องต้นอาจต้องเลื่อนแผนสร้างโรงหล่อเหล็กแห่งใหม่ในต้นปีหน้าออกไปก่อน หลังเห็นสัญญาณไม่ดีลูกค้ารายใหญ่ลดออร์เดอร์ล่วงหน้าลง 15% พร้อมเจรจาขยายตลาดส่งออกที่ยังโตได้ดีส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศระยะยาวยังไปได้ดีแน่ จึงยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนเพื่อถือเงินสดไว้รอลงทุนในอนาคต
"ปัจจัยจากวิกฤตทางการเงินโลกและปัญหาทางการเมืองทำให้มีความกังวลว่าการดำเนินธุรกิจอาจจะได้รับผลกระทบเพราะตอนนี้มีลูกค้ารายใหญ่ 1 รายได้ขอลดออเดอร์ล่วงหน้าที่จะสั่งในไตรมาส 1 ปีหน้าประมาณ 15% เป็นลูกค้ารถยนต์ ทำให้บริษัทกังวลและมองว่าเศรษฐกิจอาจจะชะลอลง โดยจะมีการประเมินสถานการณ์ในช่วง 3-6 เดือนนี้ว่าจะเกิดผลกระทบมากน้อยแค่ไหน" นายวีระยุทธ กิตะพาณิชย์ กรรมการ SAT กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
สำหรับโรงหล่อเหล็กแห่งใหม่ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.2 พันล้านบาท เพื่อรองรับยอดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนผลิตเครื่องจักรกลเกษตร หลังจากเจรจารับออร์เดอร์จากทางคูโบต้า ซึ่งขณะนี้ได้รับออร์เดอร์แน่นอนแล้ว 2.5 หมื่นยูนิต/ปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200-300 ล้านบาท เริ่มผลิตปี 52
นายวีระยุทธ กล่าวว่า แม้จะมีออร์เดอร์ใหญ่จากทางคูโบต้าในมือแล้ว แต่จากปัจจัยแวดล้อมที่ไม่ดีนักอาจจะส่งผลต่อการดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งบริษัทกำลังเตรียมแผนรับมือ พร้อมทั้งมองหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มในโซนเอเซียน โดยอยู่ระหว่างเจรจาผู้ประกอบการ 2-3 รายในอินเดีย จีน และออสเตรเลีย เพื่อส่งออกชิ้นส่วนประเภทเพลาข้าง สปริง ฯลฯ จากปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งสินค้า 60% ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ออสเตรเลีย, ยุโรป
"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำให้เราต้อง WORK มากขึ้นและจริงจังมากขึ้นในการคุยกับลูกค้าจากเดิมที่เราสบายๆเพราะมีลูกค้าคูโบต้าแล้วในปีหน้า แต่ตอนนี้เริ่มกังวล เพราะฉะนั้นการเตรียมแผนไว้รองรับหากเกิดอะไรขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ให้เราเจ็บตัวมาก ซึ่งรวมถึงแผนการสร้างโรงหล่อด้วย แต่ถ้าประเมินแล้วไม่ได้รุนแรงอะไรมากก็อาจเป็นไปตามเดิม"นายวีระยุทธ กล่าว
*ปี 52 ส่อแววโตลดลง แต่ปีนี้ยังโตตามเป้าและกำไรดีขึ้น
นายวีระยุทธ กล่าวว่า จากความกังวลที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทประเมินว่าในปี 52 อาจเติบโตได้ไม่เท่ากับปี 51 ที่ยอดขายน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 15% จาก 4,950 ล้านบาทในปี 50 ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้ก็น่าจะสูงกว่าปีก่อนเช่นกัน เนื่องจากครึ่งปีหลังบริษัทได้ปรับขึ้นราคาสินค้าประมาณ 2-3% ตามราคาวัตถุดิบเหล็กที่สูงขึ้น รวมทั้งบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/51 ยอดขายมีแนวโน้มที่ดี ซึ่งน่าจะเติบโตกว่าไตรมาสที่ผ่านมาที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาท เพราะบริษัทมีลูกค้าใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 11.5% และอัตรากำไรขั้นต้น 21% ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย จากผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก
*ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน หวังถือเงินสดเพื่อลงทุนในอนาคต
ส่วนแผนในการซื้อหุ้นคืนนั้น นายวีระยุทธ ยอมรับว่า ขณะนี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากจนต่ำกว่า book value แต่บริษัทคงจะไม่เข้าไปซื้อหุ้นคืน เพราะมองว่าการปรับตัวลดลงมาจากภาวะตลาดโดยรวม ประกอบกับมองว่าถือเงินสดไว้ดีกว่าเผื่ออนาคตต้องมีการลงทุน หรือหากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาดไว้ก็ยังมีเงินทุนไว้รองรับได้
อย่างไรก็ตาม นายวีระยุทธ มองว่า ในระยะยาวอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตที่ดี จากระบบสาธารณูปโภคที่มีความพร้อมเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง และค่ายรถยนต์ต่างๆ ยังเห็นว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ อย่างกรณีของฮอนด้ามีแผนการขยายกำลังการผลิตในประเทศไทยจาก 1.2 แสนคันต่อปี เป็น 2.4 แสนคันต่อปี แม้ในปีหน้าการเติบโตโดยรวมอาจจะชะลอไปบ้าง