นายชัยวัฒน์ ดำรงมงคลกุล กรรมการอำนวยการ บริษัท ท๊อป โซลเว้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ไทยออยล์(TOP) คาดว่า กระบวนการซื้อหุ้นในธุรกิจโซลเว้นท์จากเชลล์จะเสร็จสิ้นปลายปี 51 และต้นปี 52 บริษัทจะเข้าไปบริหาร และจะมีรายได้เข้ามาให้กับ TOP ประมาณ 4-5 พันล้านบาท
แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับรายได้รวม แต่เป็นการุกธุรกิจค้าปลีกครั้งแรกของบริษัท และอนาคตเชื่อว่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่จะมาต่อยอดให้กับบริษัทได้อีก โดยระหว่างนี้กำลังออกแบรนด์ใหม่เพื่อมาทำตลาดค้าปลีก คาดว่าจะเสร็จในปลายปีนี้
"หลังจากที่เราเริ่มรุกธุรกิจค้าปลีก ถือได้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง และเป็นการสร้างแบรนด์เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีในมือ ที่แต่เดิมขายส่งให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว"นายชัยวัฒน์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ TOP เข้าซื้อหุ้น 80.52%ในบริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ์ จำกัด(SAKC) จากบริษัท Shell Overseas Investments B.V. และบริษัท พัฒนกิจเคมี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในกลุ่มเชลล์ และลงนามสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ธุรกิจเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายและการตลาดสารโซลเว้นท์ในไทยและเวียดนาม มูลค่าการลงทุนทั้งหมดประมาณ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4,080 ล้านบาท
ด้านนายวัชระ มัทนพนารถ ผู้จัดการประจำประทศไทย บริษัท ท๊อป โซลเว้นท์ จำกัด กล่าวว่า จากวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อยอดผลิตและยอดขายของบริษัทในปี 52 ลดลง 20% ซึ่งแผนเดิมคาดจะเพิ่ม 30% แต่ TOP มีสินค้าอื่นมาชดเชย และมีต้นทุนวัตถุดิบลดลง ทำให้คาดว่าจะได้รับผลกระทบจริงประมาณ 10% สาเหตุหลักมาจากความต้องการลดลง โดยขณะนี้ราคาปรับลดลงมา 25% จากไตรมาส 2/51 ที่มีราคาสูงสุด และคาดว่าราคาน่าจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/51 ส่วนในปีหน้าคาดว่าราคาเฉลี่ยต่ำลงประมาณ 20%
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ TOP เริ่มเข้ามาบริหารในต้นปี 52 นายวัชระ กล่าวว่า นโยบายในช่วงครึ่งปีแรกจะยังเหมือนเดิมที่เชลล์เคยทำไว้ เพราะอยู่ในช่วงโยกย้ายบุคคลากร และปรับปรุงซอฟท์แวร์ ส่วนในครึ่งปีหลังจะมีการทบทวนผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก