ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร NOBLE ที่ “BBB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 7, 2008 08:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงตราสัญลักษณ์ของบริษัทที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าที่อยู่อาศัย และการขยายโครงการที่ระมัดระวัง

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากฐานะทางการเงินที่อ่อนลง (ตามเกณฑ์เงินสด) ในช่วงปี 2550-2551 ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนอย่างมากในการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมแม้ว่าการโอนและกระแสเงินสดไหลเข้าจะเกิดขึ้นในปี 2552 เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงผลประกอบการไว้ได้ในระยะปานกลาง อีกทั้งยังคาดว่ากระแสเงินสดและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะดีขึ้นเมื่อโครงการคอนโดมิเนียมก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนให้แก่ลูกค้าได้ตามแผนงาน นอกจากนี้ มาตรการทางภาษีของภาครัฐจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์เป็นผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 บุคคลในตระกูลธนากิจอำนวยและตระกูลเครือญาติยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทในสัดส่วนรวมกัน 14% ภายหลังจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อเน้นการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2549 ส่งผลให้รายได้จากคอนโดมิเนียมกลายเป็นรายได้หลักของบริษัทในช่วงปี 2550 ถึงครึ่งแรกของปี 2551 โดยมีสัดส่วนมากกว่า 60% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้จากบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนประมาณ 30% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีตราสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในฐานะผู้ประกอบการที่นำเสนอสินค้าที่อยู่อาศัยซึ่งมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากรายอื่นๆ

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์มีรายได้รวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2,293 ล้านบาทในปี 2550 และ 1,136 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 9% และ 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ที่มากขึ้นตามความคืบหน้าของงานก่อสร้างคอนโดมิเนียม แม้รายได้จะเพิ่มขึ้น แต่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (ตามเกณฑ์เงินสด) ของบริษัทกลับลดลงเป็น 12.72% ในปี 2550 และ 9.40% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 นอกจากนี้ สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังอ่อนตัวลงเนื่องจากบริษัทมีคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหลายโครงการในขณะที่มีคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าแล้วจำนวนน้อย ทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเหลือเพียง 5.07% ในปี 2550 และลดลงเป็น -0.8% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในครึ่งแรกของปี 2551 กระแสเงินสดที่อ่อนตัวลงนี้เป็นผลมาจากการมีเงินทุนจากการดำเนินงานน้อยแต่มีภาระหนี้สินสูง ทั้งนี้ หนี้สินรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1,770 ณ สิ้นปี 2549 เป็น 2,124 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 และเป็น 2,261 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551

อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยขึ้นอยู่กับแนวโน้มโดยรวมของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2551 น่าจะขยายตัวในระดับปานกลางด้วยอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ระหว่าง 4.3%-5.0% จากระดับ 4.8% ในปี 2550 อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งได้แก่การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลดค่าธรรมเนียมการโอนสามารถช่วยกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยได้เฉพาะในระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากยังไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทริสเรทติ้งกล่าว



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ