ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในช่วงเช้าวันนี้ เพราะได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดิ่งลงกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากกระแสตอบรับนายบารัค โอบามา ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แผ่วลง และนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับปัจจัยลบจากการที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรปีพ.ศ.2551
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดภาคเช้าร่วงลง 386.85 จุด แตะที่ 8,512.29 จุด ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดตลาดร่วงลง 516.95 จุด หรือ 3.75% แตะที่ 13,273.09 จุด ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ร่วงลง 46.72 จุด หรือ 4.28% แตะที่ระดับ 1,045.5 จุด และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนร่วงลง 17.50 จุด หรือ 1.02% แตะที่ 1,700.22 จุด เช้านี้
โซอิชิโร่ มอนจิ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ไดวา เอสบี กล่าวว่า "บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียซบเซาลงหลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง 443.48 จุด หรือ 4.85% ปิดที่ 8,695.79 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่ให้ความสนใจต่อชัยชนะของโอบามา แต่กลับให้น้ำหนักต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐ ซึ่งเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจถดถอยเร็วกว่าที่คาดไว้"
ADP Employer Services เปิดเผยว่า ภาคเอกชนในสหรัฐลดการจ้างงานลงมากที่สุดในรอบ 6 ปีในเดือนต.ค. ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) ระบุว่า ภาคบริการของสหรัฐหดตัวลง อย่างรุนแรงในเดือนต.ค. และกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี ขณะที่บริษัทค้าปลีกหลายแห่งในสหรัฐเปิดเผยยอดขายที่ทรุดตัวลงรุนแรงสุดในรอบ 39 ปี
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐทำให้นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) เดือนต.ค.ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนต.ค.จะร่วงลงอีก 200,000 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 และคาดว่าดัชนีภาคการผลิตจะทรุดตัวลงรวดเร็วสุดในรอบ 7 ปี
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายคัทสึอากิ วาตานาเบ้ ประธานบริหารโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ค่ายรถยนต์รายใหญ่สุดของญี่ปุ่น คาดการรณ์ว่า ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2552 บริษัทอาจมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 550,000 ล้านเยน ลดลงอย่างมากจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 1.25 ล้านล้านเยน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาทำให้ความต้องการรถยนต์ลดน้อยลงด้วย นอกจากนี้ เงินเยนที่แข็งค่าส่งผลให้เม็ดเงินที่ได้จากต่างประเทศมีมูลค่าลดลง