ASP คาดปี 51 รายได้ลดลงจากปี 50 ตามภาวะตลาด/เก็บหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ต

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 7, 2008 14:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส(ASP)คาดว่า รายได้ในปีนี้จะปรับลดลงจากปีก่อน เนื่องจากในครึ่งหลังของปีได้รับผลกระทบจากภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะทั้งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์(คอมมิชชั่น)และรายได้ในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ถึงแม้ในช่วงครึ่งปีแรกจะมีรายได้อยู่ในเกณฑ์ดีก็ตาม

แต่จากปัญหาที่เกิดขึ้นบริษัทได้มีการปรับตัวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดสาขาที่ไม่จำเป็นออกไปทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด รวมถึงการพัฒนาบุคลากรไว้รองรับหากสถานการณ์กลับมาดีขึ้น

"ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ลามมายังประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงินหรือตลาดทุน เพราะเห็นได้จากการที่หุ้นตกลงไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว ทั้งๆที่ผลประกอบการยังดีอยู่มาก ซึ่งน่าจะเห็นผลกระทบนี้ลามไปถึงปีหน้าที่อาจจะไม่สู้ดีนัก ดังนั้น ก็จะเห็นหลายบริษัทเริ่มปรับตัวไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้เพื่อรักษาสภาพคล่องในปีหน้า"นายก้องเกียรติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมามากในระยะนี้นั้น บริษัทก็ได้มีการทยอยเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่ม โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานดี และได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนด้วย

นายก้องเกียรติ กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีกว่า 300 บริษัทที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และมูลค่าตลาดก็หายไปถึง 3 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นการปรับตัวลดรุนแรง ภายใต้ที่พื้นฐานยังดีอยู่ จึงเป็นโอกาสของผู้ที่มีเงินสดที่จะเข้ามาลงทุนและถือในระยะยาว ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีแน่นอน เนื่องจากมีบริษัทจดทะเบียนประมาณ 50 รายที่สามารถเข้าไปซื้อลงทุนได้ เพราะผลตอบแทนสูง พื้นฐาน และกำไรดี

นอกจากนั้น ยังเป็นโอกาสที่จะเข้าเทคโอเวอร์กิจการบางบริษัท ที่อาจต้องปิดกิจการ แม้ว่าผลประกอบการยังดี ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าของบริษัทสนใจที่จะเทคโอเวอร์กิจการในต่างประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่

นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ขณะนี้ลูกค้าส่วนใหญ่มีความเป็นห่วงในเรื่องที่ธนาคารพาณิชย์อาจไม่ให้รีไฟแนนซ์ ซึ่งโอกาสที่บริษัทขนาดกลาง-เล็กจะรีไฟแนนซ์ก็จะมีความลำบากมากขึ้น และอาจเห็นธุรกิจหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่คงจะไม่ถึงกับขาดทุนหรือมีปัญหาสถานะทางการเงินมากเหมือนเมื่อปี 40

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามาตรการที่รัฐบาลประกาศออกมาถือว่ายังไม่เพียงพอในการช่วยแก้ปัญหาให้กับภาคเอกชน ตอนนี้ภาคเอกชนยังต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก และขณะนี้วงจรอายุรัฐบาลไทยสั้นลง แม้นโยบายที่ออกมาจะดี แต่การที่รัฐบาลมีอายุสั้นก็ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง ทางดีที่สุดควรจะประคับประคองตัวเองและระมัดระวังการลงทุนให้มากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ